Home Movies JUNG_E หนังสงครามไซไฟที่ดันพยายามดึงไปดราม่าซะงั้น

[รีวิว] JUNG_E หนังสงครามไซไฟที่ดันพยายามดึงไปดราม่าซะงั้น [Movie]

[Review] JUNG_E (จอง_อี) [2023]

JUNG_E (정이, จอง_อี) ภาพยนตร์ Action Sci-Fi ไอเดียล้ำสัญชาติเกาหลีใต้ที่ส่งตรงลง Netflix

เขียนบทและกำกับโดย Yeon Sang-ho (จากภาพยนตร์เรื่อง Train to Busan และ Peninsula และซีรีส์เรื่อง Hellbound)
ควบคุมงานสร้างโดย Byun Seung-min

นำแสดงโดย
Kang Soo-yeon (จากภาพยนตร์เรื่อง Hanji และ Juri) [ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว] รับบทเป็น Yun Seo-hyun
Park So-yi (จากภาพยนตร์เรื่อง Lingering) รับบทเป็น Yun Seo-hyun (วัยเด็ก)
Kim Hyun-joo (จากซีรีส์เรื่อง Hellbound) รับบทเป็น Yun Jung-yi / JUNG_E
Ryu Kyung-soo (จากภาพยนตร์เรื่อง The Call และซีรีส์เรื่อง Itaewon Class) รับบทเป็น Kim Sang-hoon

รับชมได้ทาง Netflix

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวเล่าเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ในช่วงศตวรรษที่ 21 เมื่อมนุษยชาติได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ยังสถานีอวกาศที่เรียกว่า “เชลเตอร์” ซึ่งอยู่ระหว่างระนาบวงโคจรของโลกกับดวงจันทร์ เพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและทรัพย์กรต่างๆ ที่ค่อยหมดสิ้นไป โดย “เชลเตอร์” ทั้งหมด มีอยู่จำนวนประมาณ 80 แห่ง

หลังจากผ่านไปหลายทศวรรษที่มีมนุษย์ค่อยๆ ทะยอยอพยพไปอยู่ยัง “เชลเตอร์” ต่างๆ กลับมี “เชลเตอร์” จำนวน 3 แห่งที่ประกาศตัวเป็นเขตปกครองตนเองที่ชื่อว่า “สาธารณะรัฐอาเดรียน” และเข้าโจมตี “เชลเตอร์” อื่นแบบไม่เลือกหน้า

สงครามระหว่าง สาธารณะรัฐอาเดรียน” กับ “กองกำลังพันธมิตร” จึงเริ่มต้นขึ้นและกินระยะเวลาต่อเนื่องมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี พร้อมกับการพยายามพัฒนาหุ่นยนต์นักรบ AI เพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในศึกสงคราม

ความรู้สึกหลังดูจบ
หลังจากที่ดูตัวอย่างแล้วก็ค่อนข้างคาดหวังความสนุกและความบันเทิงอยู่พอสมควร ด้วยหน้าหนังที่มีความเป็นหนังสงครามไซไฟคือดูดีเลยฮะ และตัวพลอตเรื่องเองก็มีความน่าสนใจมาก

และทันทีที่หนังเปิดเรื่องก็จัดฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ มาให้แบบกะจะตีหัวเข้าบ้านเลยว่างั้น แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็นเลยฮะ แล้วหลังจากฉากแอ็คชั่นแรกจบลงหนังดันเดินเรื่องไปอย่างช้าๆ เนิบๆ เดินวนไปวนมาอยู่ในอ่าง ไม่ไปไหนซะที อีกทั้งยังเต็มไปด้วยพูดที่น่าเบื่อสุดๆ

แล้วในช่วงท้ายๆ ที่เป็นช่วงไคลแม็กซ์ของเรื่อง ก็ดันทำออกมาแล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่อง I-Robot อีก จึงกลายเป็นว่าหนังขาดเสน่ห์ของตัวเองไปในที่สุด และสุดท้ายก็กลายเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟที่ไม่มีอะไรน่าจดจำเลย

ส่วนที่ไม่ชอบอีกอย่างก็คือการยัดเยียดพลอตแนวดราม่ามากเกินไป คือดูรู้เลยว่าจงใจยัดอ่ะฮะ ทั้งประเด็นดราม่าแม่-ลูก, ประเด็นสงครามกลางเมือง, ประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม, ประเด็นคุณค่าของความเป็นคน และประเด็นทางด้านจริยธรรม เป็นต้น

คือจัดมาเยอะมากมายหลายประเด็น แต่กลับไม่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเลย ไม่อินสักเรื่องเลยอ่ะ จริงๆ ถ้าหนังเลือกเอาสักประเด็นๆ แล้วเล่นมันให้หนักๆ ขยี้ประเด็นนั้นๆ ไปเลย อาจจะช่วยให้หนังมีอะไรที่น่าจดจำได้มากกว่านี้นะฮะ

อย่างเช่น ถ้าหนังเลือกเล่นประเด็นที่เกี่ยวกับสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานมาเกือบ 50 ปี แล้วหยอดซีนดราม่าเอาไว้ในนั้นแทน น่าจะทัชหัวใจคนดูได้มากกว่านี้

หรือจะไปเล่นกับประเด็นที่หนังตั้งคำถามเชิงจริยธรรมตลอดทั้งเรื่องว่า หากวันหนึ่งเราตายไป แล้วในช่วงเวลานั้นมีเทคโนโลยีที่สามารถนำข้อมูลในสมองของเราไปบรรจุในร่างโคลนหรือในหุ่นยนต์ (ที่ดันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเราอีก) คำถามคือ “สิ่งนั้น” ยังคงเป็น “ตัวเรา” อยู่หรือไม่ หรือกลายเป็นทรัพย์สินของบริษัทเทคโนโลยีที่เอาข้อมูลของเราไปใช้ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากแต่หนังกลับเล่นแบบผ่านๆ ซะงั้น

สรุป >> ให้ไป 4 เต็ม 10 ละกันฮะ เป็นอีก 1 งานหนังดราม่าไซไฟของเกาหลีที่มีของดีให้เล่นอยู่เยอะมาก แต่กลับทำออกมาได้น่าผิดหวังพอสมควร

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ

Exit mobile version