Home Movies Rim of the World (ผ่าพิภพสุดขอบโลก) การผจญภัยของเหล่าเด็กเนิร์ดที่มีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพัน

[รีวิว] Rim of the World (ผ่าพิภพสุดขอบโลก) การผจญภัยของเหล่าเด็กเนิร์ดที่มีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพัน [Movie]

[Review] Rim of the World (ผ่าพิภพสุดขอบโลก) [2019]

Rim of the World (ผ่าพิภพสุดขอบโลก) ภาพยนตร์แนว Sci-Fi Adventure ของผู้กำกับ McG ที่เคยฝากผลงานกำกับภาพยนตร์ดังๆ มาอย่างมากมาย เช่น Charlie’s Angles (2000), Charlie’s Angle: Full Throttle (2003) และ Terminator Salvation (2009) เป็นต้น อีกทั้งยังเคยเป็น Executive Producer ให้กับซีรีส์ดังอย่าง The O.C (2003 – 2007) และ Supernatural (2005 – 2020) อีกด้วย

เขียนบทโดย Zack Stentz

รับชมได้ทาง Netflix

Rim of the World (ผ่าพิภพสุดขอบโลก)

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของเด็ก 4 คนที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้วได้แก่ Alex (รับบทโดย Jack Gore), Zhen Zhen (รับบทโดย Miya Cech), Dariush (รับบทโดย Benjamin Flores Jr.) และ Gabriel (รับบทโดย Alessio Scalzotto) ซึ่งทั้ง 4 คนเพิ่งได้รู้จักและเจอกันครั้งแรกในระหว่างที่อยู่ในแคมป์ฤดูร้อนที่ชื่อ Rim of the World

ในขณะที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆ ในแคมป์อยู่นั้น พวกเขาก็ได้ประสบกับเหตุการณ์เอเลี่ยนบุกถล่มโลกอย่างหนัก ซึ่งในระหว่างที่พวกเขากำลังหลบหนีเอาตัวรอดจากการโจมตีของเหล่าเอเลี่ยนอยู่ภายในแคมป์นั้น เขาก็พบกับ Major Collins นักบินอวกาศหญิงคนหนึ่งที่หนีรอดออกมาจากสถานีอวกาศที่โคจรเหนือโลกและถูกเอเลี่ยนเข้าโจมตีก่อนที่พวกมันจะบุกโลก แต่เนื่องจากเธอบาดเจ็บสาหัสอย่างหนักจึงไม่สามารถที่จะเดินทางเพื่อส่งมอบกุญแจสำคัญในการสู้รบกับเอเลี่ยนเหล่านี้ไปยังฐานปฏิบัติการห้องวิจัยพลังานขับดัน JPL (Jet Propulsion Lab) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององก์การ NASA ที่อยู่ในเมือง Pasadena ได้ เธอจึงต้องฝากความหวังไว้กับเด็กๆ ทั้ง 4 คนนี้ ในการทำภารกิจนำกุญแจสำคัญนี้ไปส่งให้ถึงมือของ Dr. Fielding ที่อยู่ที่ฐานปฏิบัติการแห่งนี้ให้ได้

ชะตากรรมของโลกอยู่ในมือของเด็กทั้ง 4 นี้แล้ว

ความรู้สึกหลังดูจบ
ถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ และสนุกตื่นเต้นดีฮะ เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบหนังแนวผจญภัยเอาตัวรอดอย่าง The Goonies (1985), Jumanji ทั้ง 3 ภาค (1995, 2017 และ 2019), Indiana Jones ทั้ง 4 ภาค (1981, 1984, 1989 และ 2008) และ Love and Monsters (2020) เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย

งานด้าน CG ก็ทำออกมาได้ดีใช้ได้เลย ไม่ลอยแบบหนังทุนต่ำหลายๆ เรื่อง ทั้งตัวเอเลี่ยนที่ดีไซน์ออกมาได้ดูโหดและน่ากลัวดี รวมถึงภาพบรรยากาศเมืองที่กำลังล่มสลายจากการโจมตีของเหล่าเอเลี่ยนก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว

แต่จุดที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นักก็คือช่วงต้นเรื่องประมาณเกือบๆ 20 นาทีแรกค่อนข้างจะเดินเรื่องเนิบๆ ไปหน่อย อีกทั้งหนังยังเสียเวลาไปกับการปูพื้นตัวละคร อเล็กซ์ มากเกินไปจนไม่มีเวลาให้กับตัวละครอื่นเลย เราจึงไม่ได้รับรู้ถึงพื้นเพหรือที่มาที่ไปของตัวละครหลักอีก 3 ตัวที่เหลือมากนัก รู้แค่ว่าแต่ละคนต่างก็มีปมในใจของตัวเองแค่นั้น นั่นจึงทำให้หนังที่ดูเหมือนจะมีตัวละครหลัก 4 ตัว กลายเป็นมี 1 ตัวละครหลักกับอีก 3 ตัวประกอบยังไงยังงั้นเลย ซึ่งเป็นจุดที่น่าเสียดายมากๆ

และหากมองข้ามความสมเหตุสมผลอะไรต่างๆ ออกไป แล้วมองในแง่ความเป็นหนังเอาตัวรอดผจญภัย ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งในช่วงตั้งแต่ที่เอเลี่ยนบุกแคมป์นี่สนุกมาก หนังอัดซีนแอ็คชั่นผจญภัยมาได้ในจังหวะที่ดีเลย มีจังหวะให้เราได้ตื่นเต้น ลุ้นระทึกและเอาใจช่วยเด็กๆ เหล่านี้ แต่ก็ยังมีช่วงที่ให้เราได้ผ่อนคลายอารมณ์บ้าง ด้วยการหยอดมุกฮาๆ เข้าไป

ส่วนในความโหดของเอเลี่ยน ก็ไม่ได้มาแบบต๊อกต๋อยมุ้งมิ้งน่ารักๆ แบบหนังเด็กนะฮะ หนังมีความโหดเลือดสาดพอสมควรเลยฮะ

สรุป >> ให้ไป 7.5 เต็ม 10 นะฮะ เป็นหนังที่ให้ความบันเทิงได้ดีเรื่องหนึ่งเลยฮะ เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังแนวเด็กผจญภัยเอาตัวรอด

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยนะฮะ คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ

Exit mobile version