Home Movies The Tomorrow War ข้ามเวลาไปสู้กับเอเลี่ยนในโลกอนาคต

[รีวิว] The Tomorrow War ข้ามเวลาไปสู้กับเอเลี่ยนในโลกอนาคต [Movie]

[Review] The Tomorrow War (สงครามแห่งอนาคต) [2021]

The Tomorrow War (สงครามแห่งอนาคต) ภาพยนตร์แนว Military Sci-Fi Action ที่เขียนบทโดย Zach Dean และกำกับโดย Chris McKay ที่เคยฝากผลงานอนิเมชั่นเรื่อง The Lego Batman Movie มาก่อนหน้านี้ และในขณะนี้เขากำลังร่วมพัฒนาโปรเจค Nightwing ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล DCEU อยู่

แต่เดิมภาพยนตร์เรื่องนี้ทาง Paramount Picture นั้นตั้งใจจะลงจอฉายทางโรงภาพยนตร์ แต่เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 จึงจำใจต้องขายสิทธิ์การเผยแพร่ไปให้กับทาง Amazon เพื่อนำไปออกอากาศทางสตรีมมิ่งช่อง Prime Video แทน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมปี 2021

The Tomorrow War (สงครามแห่งอนาคต) [2021]

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวเริ่มต้นในช่วงเดือนธันวาคม 2022 ในระหว่างการถ่ายสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ได้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นการสนามบอลท่ามกลางสายตาคนทั่วโลกที่เฝ้าชมการแข่งขันฟุตบอลอยู่

ทันใดนั้น ก็มีนายทหารกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากแสงดังกล่าว พร้อมกับประกาศว่า พวกเขาคือมนุษย์จากโลกอนาคตในปี 2051 โดยการมาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเตือนภัยชาวโลกถึงสงครามกับเอเลี่ยนผู้รุกรานที่เรียกว่า Whitespikes ที่จะเริ่มต้นโจมตีโลกในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2048 และมนุษย์โลกจะถูกสังหารจนเกือบหมดสิ้น (ในช่วงปี 2051 ที่พวกเขาเดินทางมานั้น ทั้งโลกเหลือมนุษย์อยู่เพียงประมาณ 500,000 คนเท่านั้น)

ทางเดียวที่พวกเขาทำได้ คือการสร้างเครื่องย้อนเวลาเพื่อกลับมาเกณฑ์คนจากโลกยุคปัจจุบันไปช่วยรบกับฝูงเอเลี่ยนเหล่านั้น และเพื่อหาวิธีในการกำจัดเหล่าเอเลี่ยนให้สิ้นซาก

ซึ่งทุกคนที่ถูกเกณฑ์ไปรบนั้น จะถูกส่งตัวไปยังโลกอนาคตปี 2051 ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Jumplink และจะมีเวลาอยู่ในโลกอนาคตนั้นเพียงแค่ 7 วัน เมื่อครบกำหนดเวลา ตัว Jumplink จะส่งสัญญาณเพื่อดึงตัวทุกคนกลับมายังโลกปัจจุบันทันที นั่นหมายความว่า ภายใน 7 วันนั้น ทุกคนจะต้องต่อสู้และเอาชีวิตรอดให้ได้นานที่สุดก่อนที่จะถูกดึงตัวกลับ

James DanielDanForester Jr. (รับบทโดย Chris Pratt) ครูสอนวิชาชีววิทยาและเป็นอดีตผู้นำหน่วย Green Beret ที่ผ่านศึกสงครามในอิรักมา 2 ครั้ง คือ 1 ในคนที่ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยรบในศึกครั้งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง

และจากการเดินทางในครั้งนี้ นอกจากเค้าจะได้กลับเข้าสู่สมรภูมิรบอีกครั้งแล้ว เค้ายังได้พบกับใครบางคนที่ไม่คาดฝันอีกด้วย

มนุษย์จะสามารถเอาชนะศึกจากศัตรูต่างดาวในครั้งนี้ได้หรือไม่ และอนาคตจะเป็นอย่างไร

ความรู้สึกหลังจากดูจบ
ขอยอมรับเลยว่าในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกนั้น ค่อนข้างจะน่าเบื่อไปหน่อยกับบทพูดที่เย่อเย้อ คือเข้าใจแหละว่าหนังพยายามปูพื้นความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวอยู่ แต่มันก็พูดเยอะไปมั้ยอ่ะ

แต่ในขณะที่กำลังเริ่มๆ จะเบื่อ เริ่มจะหยิบโทรศัพท์มากดเล่น ทันใดนั้นหนังก็เริ่มที่จะพาตัวละครเข้าสู่สมรภูมิรบ นั่นแหละฮะความมันส์ก็บังเกิดขึ้นทันที

โอ้โห!!! ยิงกันไม่ยั้งเลยฮะ บันเทิงมาก ตัวเอเลี่ยนก็ไม่ใช่ง่อยๆ อย่างที่คิด แถมตัวบอสก็ตายยากตายเย็นสุดๆ ดูไปก็นั่งลุ้นตัวเกร็งไปด้วยตลอดทั้งเรื่อง ทั้งฉากสู้รบ ทั้งฉากฝูงเอเลี่ยนบุก มันให้อารมณ์แบบเดียวกับตอนที่ดูเรื่อง Starship Troopers ยังไงยังงั้นเลยฮะ

แต่ถ้ามาว่ากันที่บทหนังล้วนๆ ก็แทบจะไม่ได้มีแปลกใหม่อะไรเลยฮะ เหมือนการยำเอาหนังแนวสู้กับมนุษย์ต่างดาวบุกโลกเข้ากับแนวข้ามเวลาทั่วๆ ไปแหละฮะ ไม่ได้มีอะไรให้ ว้าว!!! นัก

แถมหนังยังพยายามผูกปมดราม่าครอบครัวเข้าไปอีกด้วย ซึ่งในจุดนี้ ถือว่ายังทำได้ไม่ค่อยอินสักเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะสิ่งที่ปูเอาไว้ยืดยาวตั้งแต่ช่วงต้น มันไม่ได้ทำให้เราคล้อยตามสักเท่าไหร่ ทำให้พอมาถึงซีนดราม่าที่ว่า เราก็ไม่รู้สึกอินไปกับมันเลยฮะ แค่รู้สึก อ๋อๆ เหรอๆ อะไรประมาณนี้

แต่ที่ขัดใจที่สุดเลยก็คือ ในเมื่อวิทยาการก้าวไกลถึงขนาดสามารถสร้างเครื่องไทม์แมชชีนได้ ทำไมถึงไม่คิดที่จะสร้างอาวุธที่มันร้ายแรงและรุนแรงสำหรับต่อกรกับเอเลี่ยนให้มันดีกว่าการใช้กระสุนหัวตะกั่วแบบธรรมดากันนะ

หนังมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมง 18 นาที แต่ที่แปลกคือ แม้ว่าจะอัดฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ มาเป็นระยะๆ จนแทบจะเป็นนันสต็อปอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีความรู้สึกว่าหนังมันยาวจัง เหมือนดูหนัง 3 ชั่วโมงเลย

สรุป >> ให้ไป 7 เต็ม 10 นะฮะ สำหรับฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ ที่ใส่มาให้เราไม่ยั้งเลย เสียดายที่ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกน่าเบื่อไปหน่อย กับซีนดราม่าที่ดูไม่ค่อยอินเท่าไหร่นัก ไม่อย่างนั้นจะให้คะแนนเยอะกว่านี้ฮะ

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยนะฮะ คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ

Exit mobile version