Home Movies ZOM 100: Bucket List of the Dead (100 สิ่งที่อยากทำก่อนจะกลายเป็นซอมบี้)

[รีวิว] ZOM 100: Bucket List of the Dead (100 สิ่งที่อยากทำก่อนจะกลายเป็นซอมบี้) [Movie]

[Review] ZOM 100: Bucket List of the Dead (100 สิ่งที่อยากทำก่อนจะกลายเป็นซอมบี้) [2023]

ZOM 100: Bucket List of the Dead (100 สิ่งที่อยากทำก่อนจะกลายเป็นซอมบี้) ภาพยนตร์แนว Horror Black Comedy สัญชาติญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากมังงะดังชื่อเรื่องเดียวกันอาจารย์ Haro Aso ซึ่งเป็นผู้แต่งเรื่อง และ วาดโดยอาจารย์ Kotaro Takata (ล่าสุดต้นฉบับรวมเล่มออกถึงเล่ม 14)

และก่อนหน้านี้ก็ได้มีการดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นอนิเมะออกฉายก่อนหน้าที่เวอร์ชั่นคนแสดงนี้จะเข้าฉายเพียง 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งสามารถรับชมเวอร์ชั่นอนิเมะได้ทาง Netflix (เวอร์ชั่นอนิเมะเริ่มออนสตรีมเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2566 ในขณะที่เวอร์ชั่นคนแสดงนี้ออนสตรีมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2566)

เขียนบทโดย Tatsuro Mishima
กำกับโดย Yusuke Ishida
ดูแลการผลิตโดย Akira Morii

นำแสดงโดย
Eiji Akaso (จากภาพยนตร์เรื่อง The Great Yokai War: Guardians, The Sunday Runoff และซีรีส์เรื่อง Kamen Rider Build) รับบทเป็น Akira Tendo
Mai Shiraishi (จากภาพยนตร์เรื่อง Stolen Identity 2 และ Usogui) รับบทเป็น Shizuka Mikazuki
Shuntaro Yanagi (จากภาพยนตร์เรื่อง Tokyo Ghoul, Rurouni Kenshin: The Final และซีรีส์เรื่อง Alice in Borderland) รับบทเป็น Kenichiro Ryuzaki
Kazuki Kitamura (จากภาพยนตร์เรื่อง Parasyte ทั้ง 2 ภาค และ Rurouni Kenshin: The Beginning) รับบทเป็น Gonzo Kosugi

รับชมได้ทาง Netflix

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของ อากิระ เทนโด พนักงานออฟฟิศหนุ่มไฟแรงที่กำลังตื่นเต้นกับการได้เข้าทำงานวันแรกในบริษัทที่ตัวเองใฝ่ฝัน แต่หลังจากผ่านงานเลี้ยงต้อนรับพนักงานที่แสนอบอุ่นเป็นกันเอง เขาก็ได้พบกับชีวิตของพนักงานบริษัทที่แท้จริง เมื่อเขาต้องทำงานอย่างหนักชนิดโต้รุ่งกันเกือบทุกวันจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน

1 ปีผ่านไปกับนรกที่ทำงาน ในเช้าวันหนึ่งที่ อากิระ ต้องตื่นไปทำงานตามปรกติ แต่แล้วเขากลับได้เจอกับสิ่งที่ไม่ปรกติ เมื่อเขาได้พบว่าผู้คนรอบตัวเขาได้กลายเป็นซอมบี้ไล่ทำร้ายกัดกินคนจนทั่วทั้งเมืองเกิดความโกลาหล

แต่หลังจากที่เขาตั้งสติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้ว อากิระ กลับมองว่าเหตุการณ์นี้แหละคือสวรรค์ของเขาหล่ะ มันคือโอกาสทองที่เขาจะไม่ต้องไปทำงานอีกต่อไปแล้ว เป็นโอกาสที่เขาจะออกไปใช้ชีวิตออกไปทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ดังนั้นเขาจึงได้เริ่มลิสรายการ 100 สิ่งที่อยากทำก่อนจะกลายเป็นซอมบี้

และแล้วการเดินทางทำตามสิ่งที่ฝันของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ความรู้สึกหลังดูจบ
โดยส่วนตัวยังไม่เคยอ่านฉบับมังงะนะฮะ ส่วน ฉบับอนิเมะก็เพิ่งดูได้ 3 ตอน อารมรณ์ตอนดูหนังจึงจะเปนยความรู้สึกที่ได้จากหนังเพียวๆ ไม่มีการเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นอื่นนะฮะ

หนังมีกลิ่นอายแบบหนังแนว Road Movie อยู่นิดหน่อย และอยู่ตรงกลางระหว่างสนุกกับน่าเบื่อ ความสนุกอยู่ที่พลอตเรื่องที่ถือว่าแปลกดี และชวนให้ลุ้นไปด้วยว่าภารกิจ 100 สิ่งที่พรเอกอยากทำมีอะไรบ้าง ซึ่งความน่าเบื่อมันก็อยู่ตรงภารกิจต่างๆ ที่พระเอกไปทำนี่แหละ คือมันเป็นภารกิจที่เรียบง่ายและธรรมดามากๆ จนมันก็ทำให้เรารู้สึกว่า โลกมันกำลังจะล่มสลายไปอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว แต่เอ็งอยากจะมาทำอะไรกับเรื่องแค่นี้เองรึ คือภารกิจมันไม่เข้มข้นและมีความน่าสนใจพอที่จะดึงดูดให้เราสนุกไปกับการเดินทางของพระเอกอ่ะฮะ

แต่หากมองในมุมของสาระที่หนังต้องการสื่อ ก็ถือว่าเป็นหนังที่พยายามสะท้อนถึงปัญหาของวัฒนธรรมการทำงานของคนญี่ปุ่นได้แบบชัดเจนดีนะฮะ ตามที่เรารับรู้มานั่นแหละฮะว่าการทำงานของคนญี่ปุ่นมีความกดดันมากขนาดไหน จนกระทั่งมีข่าวการเสียชีวิตจากการโหมงานหนักของพนักงานออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งข่าวการฆ่าตัวตายเองก็ตาม

หนังเรื่องนี้จึงเสมือนกับต้องการจะสื่อสารถึงคนดูว่า “เราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้า โลกเราจะเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ฉะนั้น จงออกไปใช้ชีวิตซะ ออกไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำบ้าง อย่าเอาเวลาไปเสียให้กับบริษัทที่พร้อมจะหาใครมาทำงานแทนเราเมื่อไหร่ก็ได้

ซึ่งประเด็นนี้นี่แหละที่ถือว่าโดนใจใครหลายๆ คนเลยฮะ โดยเฉพาะเหมือนจะสื่อกับคนที่กำลังอยู่ในช่วงวัยเริ่มต้นทำงานที่ยังไม่ต้องแบกรับภาระอะไรไว้บนบ่ามากนัก (วัดได้จากช่วงอายุของตัวพระเอกที่เพิ่งเข้าสู่วัยเริ่มต้นทำงาน)

และในบริบทตรงนี้เอง หากมองจากมุมมองของคนไทย หลายๆ คนอาจจะไม่เข้าใจกับคำว่า “ออกไปใช้ชีวิตซะ” มันสำคัญยังไง ในเมื่อหากเมิงไม่ตั้งใจทำงาน เมิงจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ชีวิต

ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็คือความเรียลของตัวละคร ซึ่งหากตัดตัวละครซอมบี้และฉลามที่ดูจะโคตรแฟนตาซีสุดๆ ออกไป จะเห็นว่าตัวละครหลักเกือบจะทุกตัวมีความเป็นมนุษย์ที่สามารถพบเจอได้ทั่วๆ ไปในสังคมเลย

สรุป >> ให้ไป 6 เต็ม 10 นะฮะ เป็นหนังที่สะท้อนถึงปัญหาการใช้ชีวิตแบบ Work-Life Balance ได้ดีพอสมควร เพียงแต่ยังนำเสนอได้ไม่เข้มข้นมากพอ

ฝากรีวิวเรื่องอื่นๆ ด้วยนะฮะ คลิกที่ลิ้งค์นี้ได้เลย

Exit mobile version