Home NETFLIX DARK ซีรีส์เกี่ยวกับการข้ามเวลาที่ชวนปวดหัวและสับสนมากๆ

[รีวิว] DARK ซีรีส์เกี่ยวกับการข้ามเวลาที่ชวนปวดหัวและสับสนมากๆ [Series]

[Review] Dark [2017-2020]

Dark ทีวีซีรีส์สัญชาติเยอรมันแนว Sci-fi Thriller ของ Netflix Original ที่ดูแลงานผลิตโดย Baran bo Odar และ Jantje Friese มีทั้งหมด 3 Season รวม 26 Episode

ว่าด้วยเรื่องราวของการข้ามเวลาที่ส่งผลกระทบต่อความลับสุดวิปลาสของผู้คนในเมืองวินเดน ประเทศเยอรมัน

เขียนบทโดย Jantje Friese, Ronny Schalk, Marc O. Seng, Martin Behnke และ Daphne Ferraro
กำกับโดย Baran bo Odar

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
ณ เมืองวินเดน เยอรมัน ชุมชนเมืองเล็กๆ อันแสนสงบซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในวันที่ 21 มิถุนายนปี 2019 วันที่ Michael Kahnwald (รับบทโดย Sebastian Rudolph) สามีของ Hannah Kahnwald (รับบทโดย Maja Schöne) และพ่อของ Jonas Kahnwald (รับบทโดย Louis Hofmann) ได้ฆ่าตัวตาย ส่งผลให้ โยนาส ต้องเข้ารับการรักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลจิตเวช เนื่องจากได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างหนักจากการตายของ มิคาเอล พ่อของเขา

และหลังจากนั้นหลายเดือนโยนาส ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลและกลับมาเข้าเรียนตามปรกติ

ในคืนวันหนึ่ง โยนาส และเพื่อนๆ ของเขาซึ่งประกอบไปด้วย Magnus Nielsen (รับบทโดย Mortiz Jahn), Martha Nielsen (รับบทโดย Lisa Vicari), Mikkel Nielsen (รับบทโดย Daan Lennard Liebrenz) น้องชายวัย 9 ขวบของ มักนัส และ มาร์ธา และ Bartosz Tiedermann (รับบทโดย Paul Lux) เพื่อนสนิทของ โยนาส และเป็นแฟนคนปัจจุบันของ มาร์ธา ได้เข้าไปเที่ยวเล่นแถวๆ บริเวณป่าลึกของเมืองวินเดนซึ่งมีถ้ำที่อยู่ติดกับบริเวณพื้นที่ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

ในระหว่างนั้น พวกเขาได้พบเหตุการณ์ประหลาดอะไรบางอย่างทำให้พวกเขาตื่นตกใจและวิ่งหนีกระจัดกระจายกันไป นั่นจึงทำให้ เจ้าหนู มิคเคล ได้หายตัวไปอย่างลึกลับในบริเวณป่านั้น

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีเด็กในเมืองวินเดนหายสาปสูญไปแล้ว 2 คน นั่นคือ Erik Obendorf (รับบทโดย Paul Radom) ที่หายตัวไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2019 และ Mads Nielsen (รับบทโดย Valentin Oppermann) ที่หายสาปสูญไปตั้งแต่ปี 1986

และการหายตัวไปของ มิคเคล นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความวิปลาสที่เกิดขึ้นในเมืองวินเดน

ซึ่งสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ เล่าเรื่องย่อได้เพียงเท่านี้จริงๆ ฮะ ถ้าเล่ามากกว่านี้จะใกล้ๆ สปอยแระ เดี๋ยวจะไม่ได้ลุ้นไม่ได้เดากัน

ความรู้สึกหลังดูจบ
จะว่าไปแล้วซีรีส์ชุดนี้ก็เหมือนหนังสือเรียนนะฮะ ตรงที่ว่าบทที่ 1 มักจะเริ่มต้นด้วยเรื่องง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความยากเข้าไปเรื่อยๆ ในบทต่อๆ ไป สำหรับซีรีส์ชุดนี้ก็เป็นเช่นนี้ฮะ ที่ในแต่ละตอนของซีซั่น 1 จะให้คนดูค่อยๆ ปรับอารมณ์และทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อ รวมถึงทฤษฎีการข้ามเวลาที่เรื่องนี้นำมาใช้ จากนั้นพอเข้าซีซั่น 2 ก็เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นไปอีกในแต่ละตอน รวมถึงความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวที่เริ่มวุนวายยุ่งเหยิงมากขึ้น จนกระทั่งในซีซั่น 3 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้าย ที่ความซับซ้อนอยู่ในระดับปริญญาเอกกันเลยทีเดียวฮะ งงกันตั้งแต่ตอนแรกของซีซั่น 3 เลยฮะ เพราะในซีซั่น 3 นี้ ไม่ใช่แค่เล่าถึงเรื่องราวของการข้ามเวลาเท่านั้น แต่ยังพาคนดูไปไกลถึงระดับจักรวาลคู่ขนาน (Parallel World) กันเลยทีเดียว

สิ่งหนึ่งที่มีส่วนทำให้หลายๆ คนงง นอกจากทฤษฎีการข้ามเวลาที่ค่อนข้างซับซ้อนมากๆ แล้ว ก็น่าจะเป็นตัวละครหลักของเรื่องที่มีเยอะมาก แล้วหนังยังมีการเล่าเรื่องถึงช่วงเวลาหลักถึง 4 ช่วงเวลา นั่นคือ ปี 1953, 1986, 2019 และ 2052 (แถมบางช่วงยังย้อนไปถึงปี 1888 และ 1921 เพิ่มเข้ามาอีก)

ดังนั้น บางตัวละครจึงมีนักแสดงที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาถึง 3-4 คนเลย ทีนี้ คุณก็ลองคูณเข้าไปสิ ว่าจะมีตัวละครและนักแสดงกี่คนที่คุณต้องจำให้ได้ว่าใครไปใคร แถมด้วยความที่เป็นภาษาเยอรมันที่หลายๆ คนน่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยอีกต่างหาก

ซึ่งความสนุกของซีรีส์ชุดนี้ ก็อยู่ที่การนำเสนอความซับซ้อนของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวผ่านช่วงเวลาที่ต่างกันนี่แหละฮะ และสิ่งที่ทำให้ซีรีส์ชุดนี้แตกต่างจากหนังเกี่ยวกับการข้ามเวลาเรื่องอื่นๆ ก็คือ โดยมากในหนังเรื่องอื่นๆ มักจะพูดถึงเรื่องการข้ามเวลาในมุมที่เกี่ยวกับการแก้ไขอดีตจะส่งผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคต แต่กับซีรีส์ชุดนี้นั้นจะเป็นการเล่าถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในอนาคตนั้นจะส่งผลกระทบต่ออดีตได้ (คล้ายๆ กับในหนังเรื่อง Terminator นั่นล่ะฮะ ที่คนจากโลกอนาคตส่งคนและหุ่นยนต์กลับมาในอดีต จนทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น)

ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันเป็นวัฏจักร จากอนาคตถึงอดีต และจากอดีตก็ไปสู่ปัจจุบัน และนี่ก็คือประเด็นหลักที่พูดถึงในซีรีส์ชุดนี้

งานด้านภาพทั้งมุมกล้อง การจัดแสง มู๊ดแอนด์โทนคือดีงามฮะ ถ่ายภาพสวยมาก การจัดแสงในแต่ละซีนก็เข้ากับบรรยากาศของเรื่องที่ให้อารมณ์เหงาๆ ในบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ ปนไปด้วยความลับที่ตัวละครแต่ละตัวเก็บซ่อนเอาไว้ และที่สำคัญนักแสดงสาวบางคนมีซีนที่ได้โชว์หน้าอกด้วย (อันนี้คือดีงามฮะ)

แต่จุดที่ไม่ชอบเลยก็คือวิธีการดำเนินเรื่อง ที่ไปแบบเรื่อยๆ เอื่อยๆ เนิบนาบ ไม่หวือหวา มีแต่บทพูด ซึ่งบ่อยครั้งก็ชวนให้รู้สึกเบื่อและง่วงขึ้นมาซะงั้น แถมปมบางอย่างที่เหมือนจะคลี่คลาย แต่ก็ยังมีบางจุดที่ทำให้เรารู้สึก เอ๊ะ!!! ใช่เหรอ??? อยู่เหมือนกัน แถมทฤษฎีการเดินทางข้ามเวลาในเรื่องนี้ ก็มีหลายๆ จุดที่ดูจะมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่เหมือนกัน

สรุป >> ให้ไป 7.5 เต็ม 10 นะฮะ พลอตเรื่องสนุก มีความน่าสนใจมาก แต่ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบหนังที่มีบทพูดเยอะๆ และเดินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ

Exit mobile version