[Review] PREY [2022]
Prey ภาพยนตร์แนว Sci-Fi Thriller Action ซึ่งเป็น 1 ในหนังแฟรนไชส์ตระกูล Predator โดยจะเล่าเรื่องราวในช่วงปี 1719 หรือประมาณ 268 ปีก่อนเหตุการณ์ในหนัง Predator ภาคแรกที่นำแสดงโดย Arnold Schwarzenegger
เขียนบทโดย Patrick Aison
กำกับโดย Dan Trachtenberg
รับชมได้ทาง Disney+ Hotstar
เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวเริ่มต้นที่บริเวณเขตพื้นที่ราบของอเมริกาเหนือในช่วงปี 1719 โดยหนังจะโฟกัสไปที่ Naru (รับบทโดย Amber Midthunder) สาวชาวเผ่าโคมันชี่ (Comanche) ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา (หรือที่เรียกกันว่าอินเดียนแดงนั่นเอง) ผู้ที่พยายามจะพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนในเผ่าว่าเธอก็สามารถเป็นนักล่าที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกับ Taabe (รับบทโดย Dakota Beavers) พี่ชายของเธอ และผู้ชายคนอื่นๆ
นารู มีความสามารถในด้านการแกะรอยเป็นเลิศ และยังมีความรอบรู้ในด้านการใช้สมุนไพรมาทำเป็นยารักษา เธอมักจะใช้เวลาในการฝึกฝนฝีมือการต่อสู้และการใช้อาวุธอยู่เสมอ แทนที่จะไปช่วยทำงานอย่างอื่นอย่างผู้หญิงในเผ่าทำกัน
วันหนึ่งในขณะที่เธอแอบตาม ทาเบ และคนอื่นๆ ออกไปตามล่าสิงโตนั้น เธอก็ได้พบกับร่องรอยแปลกประหลาดผิดธรรมชาติ จนเธอเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกำลังแอบซุ่มรอโจมตีพวกเขาอยู่ แต่เมื่อเธอพยายามบอกกับทุกคนในกลุ่ม กลับไม่มีใครเชื่อเธอเลยสักคน
จนกระทั่งฝันร้ายก็บังเกิด เมื่อพวกเขาโดนเจ้าสิ่งนั้นเข้าโจมตีอย่างเหี้ยมโหด รุนแรง และรวดเร็ว นอกจากนี้มันยังพยายามตามล่าเธออีกด้วย
นารู จะหันหลังวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด หรือจะเข้าต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความเป็นนักล่าในตัวเธอ ต้องไปร่วมลุ้นกันนะฮะ
ความรู้สึกหลังดูจบ
หนังมีความเป็นเฟมินิสต์ (feminist) ผสมผสานกับความเป็นหนัง Coming of Age อยู่พอสมควร เพราะตัวละคร นารู ซึ่งเป็นผู้หญิงพยายามเรียกร้อง (ตะโกนดังๆ) ในสิทธิ์ของการเลือกใช้ชีวิตของตัวเอง ว่าเธอก็สามารถที่จะเป็นนักล่าคนหนึ่งได้นะ สามารถออกล่าได้เฉกเช่นเดียวกันกับพี่ชายของเธอและผู้ชายคนอื่นๆ ในเผ่า โดยที่เธอจะไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่กรอบขนบที่ว่าการล่าเป็นงานของผู้ชายเท่านั้น ส่วนผู้หญิงก็ต้องคอยซักผ้า ทักถอเครื่องนุ่งห่ม อะไรประมาณนั้น
แต่สุดท้าย แม้ว่าเธอจะพยายามฝึกซ้อมฝีมือตัวเองอย่างหนักเพียงใด แต่เธอก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการล่าจริงๆ เลยสักครั้ง และนั่นจึงทำให้เธอต้องพยายามมากขึ้นในการพิสูจน์ตัวเอง
ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดีในระดับหนึ่งเลย โดยตัวหนังได้ถ่ายทอดให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าแม้ นารู มีฝีมือในการต่อสู้และมีทักษะของการนักล่าที่ดียังไงก็ตาม แต่เมื่อถึงสถานการณ์คับขันที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจริงๆ ด้วยความที่ขาดประสบการณ์และความกลัวที่ถาโถมเข้ามา จึงทำให้เห็นว่าเธอมักจะพลาดท่าเสียทีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่บ่อยครั้ง
นั่นจึงทำให้หนังยังคงมีความสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ที่ไม่ใช่จู่ๆ นึกอยากจะให้ตัวละครเก่ง ก็เก่งขึ้นมาซะเฉยๆ
และหากใครที่เคยชื่นชอบอารมณ์หนังแบบในภาคแรก (ปี 1987 ที่ อาโนลด์ แสดงนำ) น่าจะชอบภาคนี้มากๆ เพราะทั้งฉากแอ็คชั่นที่วัดกันด้วยกึ๋นและฝีมือมากกว่าอาวุธที่มี รวมถึงบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจที่มีอยู่ตลอดทั้งเรื่อง
แต่สำหรับคนดูรุ่นใหม่ๆ อาจจะไม่ชอบเท่าไหร่นัก เพราะช่วงต้นหนังเดินเรื่องค่อนข้างช้าไปหน่อย กว่าจะเผยโฉมให้เห็นตัว Yautja แบบเต็มๆ ก็ปาเข้าไปครึ่งค่อนเรื่องแล้ว (ซึ่งจะว่าไปแล้ว จังหวะการเดินเรื่องก็แอบคล้ายๆ กับภาคแรกอยู่เหมือนกันนะฮะ)
ในส่วนของความโหด ก็เหมาะสมกับที่ได้รับ เรท 18+ เพราะหนังมีความรุนแรง และเลือดสาดอยู่เยอะเลย
และโดยส่วนตัวแล้ว ฉากที่ชอบที่สุดเลยสำหรับเรื่องนี้ คือซีนการปะทะกันของ ทาเบ กับ Youtja ที่ทำออกมาได้น่าตื่นเต้นและลุ้นระทึกดีมากฮะ
แต่ที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เลยก็คือตัว Yautja ที่ภาคนี้ดูจะไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นัก คือมันมีจุดที่พลาดท่าเสียทีแบบง่ายๆ อยู่หลายช่วงเลย
สำหรับใครที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่อง Predator มาก่อนเลยสักภาค ก็สามารถดูได้แบบไม่ติดขัดอะไรนะฮะ เพราะแม้จะมี Easter Egg ใส่เข้ามาในหลายจุด แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเนื้อเรื่องนะฮะ เป็น Easter Egg ที่ทำให้แฟนเก่าๆ รู้สึกว้าวมากกว่า
และจากที่ติดตามดูมาตลอดทุกภาค รวมทั้งแฟรนไชส์ AVP แล้ว หากมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของลิขสิทธิ์หนังชุดนี้ ก็อยากจะกระซิบบอกเค้าว่า ช่วยสร้างหนังจากมุมมองของ Yautja หน่อยเถอะ คือกว่า 35 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่หนังภาคแรกเข้าฉาย เรายังไม่เคยได้รู้ถึงความคิดและความเป็นมาของเอเลี่ยนเผ่า Yautja เลย ว่าเป็นใคร มาจากไหน ใช้ชีวิตปรกติยังไง ทำไมชอบล่า และทำไมต้องส่งตัวแทนของเผ่าตัวเองมาฝึกล่าในดาวดวงอื่น แล้วเคยทำสงครามเป็นเรื่องเป็นราวกับใครเขาหรือไม่ อะไรทำนองนี้อ่ะ (หรืออาจจะเคยมีพูดถึงในฉบับคอมิกส์ หรือเกม อันนี้ขอไม่นับนะฮะ เพราะโดยส่วนตัวไม่เคยตามอ่านหรือเล่นเกมมาก่อน)
สรุป >> ให้ไป 7.5 เต็ม 10 ละกันฮะ หนังหันกลับมาในแนวทางแบบภาคแรกปี 1987 ที่แฟนๆ ส่วนใหญ่ชอบ แต่ก็ยังคงขาดๆ เกินๆ อยู่บ้างเล็กน้อย และหนังเดินเรื่องช้าไปหน่อย
ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ