Home Movies คืนยุติธรรม เมื่อความยุติธรรมไม่มีอยู่จริง เราจึงต้องสร้างด้วยมือเราเอง

[รีวิว] คืนยุติธรรม เมื่อความยุติธรรมไม่มีอยู่จริง เราจึงต้องสร้างด้วยมือเราเอง [Movie]

[Reivew] คืนยุติธรรม (Nemesis) [2020]

คืนยุติธรรม (Nemesis) ภาพยนตร์ไทยแนว Action Thriller ของผู้กำกับ กัณฑ์ปวิตร ภูวดลวิศิษฏ์ (ที่เคยฝากผลงานก่อนหน้านี้จากภาพยนตร์เรื่อง นมัสเตอินเดีย ส่งเกรียนไปเรียนพุทธ) ที่ครั้งนี้พ่วงตำแหน่งผู้เขียนบทด้วย ภายใต้การควบคุมงานสร้างของ นนทรีย์  นิมิบุตร และ ปิยะลักษณ์  มหาธนทรัพย์ รับชมได้ทาง NETFLIX

นำแสดงโดย
ก๊อด จิรายุ ตันตระกูล รับบทเป็น มานพ
กิ๊ก เกียรติ กิจเจริญ รับบทเป็น สิทธิชน
ปูเป้ รามาวดี นาคฉัตรีย์ รับบทเป็น หมอกานดา
แพร ณัฎฐธิดา ดำรงวิเศษพาณิชย์ รับบทเป็น อัญ (ผู้ช่วยหมอกานดา)
อาร์ต ศิลป์ รุจิรวนิช รับบทเป็น ชาติ (ตากล้อง)

โดยตอนแรกวางกำหนดการฉายเป็นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 แต่เนื่องจากในช่วงนั้นประเทศไทยเพิ่งผ่านเหตุการณ์บุกกราดยิงที่โคราชจนมีคนตายมากมาย และในหนังมันก็มีบริบทหลายๆ อย่างที่มันคล้ายกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทางทีมงานจึงตัดสินใจเลื่อนกำหนดการฉายไปก่อน เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย แล้วพอมาช่วงปลายเดือนมีนาคม ก็เจอพิษไวรัสโควิด-19 ระบาดอีก ทำให้ต้องล็อกดาวน์ประเทศกันเลยทีเดียว หนังจึงต้องเลื่อนฉายไปอีกรอบ จนมาลงตัวได้วันฉายเป็นวันที่ 12 สิงหาคม 2563 นี่แหละฮะ

คืนยุติธรรม (Nemesis) [2019]

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของ มานพ ชายหนุ่มที่เป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมภรรยาตัวเอง ในขณะขึ้นศาลเพื่อทำการตัดสินโทษนั้น ทนายทางฝั่ง มานพ ได้ให้ความว่า ในขณะที่เกิดเหตุนั้น มานพ ได้ก่อเหตุโดยไม่รู้ผิดชอบ อันเป็นผลมาจากการใช้ยาเสพติดมาเป็นระยะเวลานาน จึงส่งผลข้างเคียงให้กลายเป็นบุคคลวิกลจริต ซึ่งตามประมวลกฎหมายถือว่าผู้ก่อเหตุไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ศาลจึงได้มีคำสั่งจำคุกและให้ส่งตัว มานพ ไปพบจิตแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยภาวะจิตของ มานพ ก่อนที่จะมีการพิพากษาอีกครั้ง

หมอกานดา จิตแพทย์สาวจึงได้รับหน้าที่ให้มาดูแลและวินิจฉัยในเคสของ มานพ จนกระทั่ง 7 ปี ผ่านไปก็ถึงเวลาที่ มานพ จะกลับมาทวงความยุติธรรมคืนให้กับตัวเขาเองในสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อ

12 ชั่วโมงของคืนวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561 จึงกลายเป็นค่ำคืนแห่งการทวงแค้นและเปิดโปงเบื้องหลังอันเน่าเฟะของสิ่งที่เรียกว่า กระบวนการยุติธรรม

ความรู้สึกหลังจากดูจบ
เอาจริงๆ แล้ว หนังก็มีความสนุกอยู่ในตัวพอสมควร ยิ่งกับหนังพลอตแบบนี้ที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทยสักเท่าไหร่  แต่ลึกๆ แล้วก็ต้องยอมรับว่าแอบผิดหวังเล็กน้อย เพราะตอนที่ดูจากตัวอย่างก็คาดหวังไว้ว่าหนังน่าจะเล่นประเด็นจิกกัดสังคมแบบจัดหนักจัดเต็ม ทั้งประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนรวยรังแกคนจน คุกมีไว้ขังหมากับคนจน การคอรัปชั่น โดยที่กระบวนการยุติธรรมก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ อะไรแบบนี้เป็นต้น แบบที่เราอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า เออ หนังไทยมันต้องแบบนี้สิวะ รอมานานแล้ว อะไรทำนองนี้

แต่พอได้ดูเต็มๆ หนังกลับเล่นประเด็นดังกล่าวได้เพียงแค่ผิวๆ เท่านั้น ยังขาดชั้นเชิงในการนำเสนอ ทั้งๆ ที่มันเป็น “พลอตหลัก” ของเรื่องเลย อารมณ์เหมือนอยากจะเล่นกับประเด็นเหล่านี้แหละ แต่วิธีการเล่าเรื่องมันไม่อิมแพคพอให้เรารู้สึกคล้อยตามได้ โดยเฉพาะในช่วง ศาลเตี้ยจัดการคนเลว ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกสะใจกับการจัดการ “เอาคืน” คนเหล่านี้เลย (ในกรณีที่คล้ายๆ กันนี้ อยากจะขอเปรียบเทียบกับละครเรื่อง ล่า เวอร์ชั่น สินจัย ที่สามารถดึงอารมณ์ร่วมของคนดูออกมาได้มากกว่า คือทำให้คนดูรู้สึกว่า เออ พวกมันสมควรโดนแล้ว อะไรแบบเนี้ย)

แถมหนังยังพยายามที่จะเล่นประเด็นคนที่เป็น โรค MPD (Multiple Personality Disorder) หรือที่เรียกกันว่า โรคหลายบุคลิก อีก (แบบที่เคยเห็นในภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาก่อนหน้านี้อย่าง Split และ Identity หรือถ้าเป็นภาพยนตร์ไทยก็อย่าง บอดี้ ศพ#19 เป็นต้น) แต่สุดท้ายกลับโยนประเด็นนี้ทิ้งไปซะเฉยๆ ซะงั้น

หนังใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันตลอดทั้งเรื่องและกับหลายๆ ตัวละคร ซึ่งก็เหมือนจะดีนะ แต่ก็อย่างที่บอกก่อนหน้านี้อ่ะฮะ ว่าหนังขาดชั้นเชิงในการเล่า มันจึงกลายเป็นจุดอ่อนของหนังแทน คือเล่าแล้วมันไม่กลมกล่อมจนทำให้รู้สึกว่าหนังมันกระโดดไปกระโดดมาจนน่ารำคาญ แต่ถ้าถามว่าดูแล้วจะงงมั้ย ก็บอกได้เลยว่าไม่น่าจะงง เพราะหนังมันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนขนาดนั้น

อีกทั้งตัวละครแทบจะทุกตัวก็ขาดมิติมาก มาแบบแบนราบเลย ดี ร้าย โรคจิต มากันแบบเห็นๆ โดยไม่ต้องเดาทางกันเลย แถมการใส่ปูมหลังของตัวละครแต่ละตัวที่แทรกเข้ามานั้น กลับไม่ได้ทำให้ตัวละครตัวไหนดูน่าสนใจขึ้นเลย

ส่วนฉากไล่ล่าทำออกมาได้ดีใช้ได้ ดูสนุกและน่าลุ้นดี แถมมีบางซีนที่ให้อารมณ์เดียวกับ John Wick เฉยเลย แต่ก็อีกนั่นแหละ ด้วยความที่หนังก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดพื้นเพของตัวละครให้ชัดเจน จึงทำให้เราก็นึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกันนะว่า ไปฝึกวิธีการต่อสู้ และการใช้ปืนระดับนี้มาจากไหนกัน

สรุป >> เอาเป็นว่า แม้จะไม่ใช่หนังที่ดีมากนักแต่ก็ไม่ถึงขั้นแย่นะ ซึ่งถ้าดูแบบไม่จับผิดหรือคิดอะไรมากก็สนุกใช้ได้เลย ดีกว่าหนังไทยอีกหลายๆ เรื่องฮะ ให้ไป 7 เต็ม 10 ละกัน เป็นกำลังใจให้สำหรับคนทำหนังไทยที่กล้านำเสนอพลอตที่แตกต่างออกมาบ้าง

สุดท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ

Exit mobile version