[รีวิว] Ash VS Evil Dead การกลับมาของแอชลีย์จอมสับ [Series]

[REVIEW] ASH vs EVIL DEAD [2015-2018]

ASH vs EVIL DEAD การกลับมาของภาพยนตร์สยองขวัญในตำนานแห่งยุค 80 อย่าง EVIL DEAD (เวอร์ชั่นไตรภาคต้นฉบับปี 1981-1992) ที่คราวนี้กลับมาในรูปแบบของทีวีซีรีส์ ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมทีมกันอีกครั้งของ Sam Raimi ในฐานะ Executive Producer ทำหน้าที่ควบคุมและดูแลการผลิตทั้งหมด (อาจจะมีแวะมากำกับบ้างในบางตอน), Robert Tapert ในฐานะ Producer และ Bruce Campbell ในฐานะ Executive Producer และนักแสดงนำ เจ้าของบท Ash William aka แอชลีย์จอมสับ

สามารถรับชมได้ทางช่อง NETFLIX มีทั้งหมด 3 Season

ASH vs EVIL DEAD [2015-2018]

เรื่องย่อ/เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของ แอช วิลลเลี่ยม ชายที่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้จากการต่อสู้กับปีศาจร้าย เหตุการณ์ผ่านไป 30 ปีปัจจุบันเขาได้ทำงานเป็นลูกจ้างของร้าน Value Stop

แอช อาศัยอยู่ในรถบ้านและใช้ชีวิตแบบเสเพล เฮฮาปาร์ตี้ไปวันๆ จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่เขากำลังเมากัญชากับสาวสวยนางหนึ่งจนได้ที่ เขาได้เผลออ่านคาถาจากหนังสือ Necronomicon หนังสือต้องคำสาปที่ถูกสร้างขึ้นจากหนังและเลือดของมนุษย์ ซึ่งคาถาที่ แอช เผลออ่านไปนั้น คือคาถาสำหรับปลดปล่อยวิญญาณร้ายจากนรกขึ้นมา

และนั่นเองที่ฝันร้ายจึงได้กลับมาเยือนเขาอีกครั้ง

ASH vs EVIL DEAD [2015-2018] - Ash William (รับบทโดย Bruce Campbell)

หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากฝันร้ายนี้ได้ คือ ต้องหาทางทำลายหนังสือ เนโครโนมิคอน เล่มนี้ให้ได้ (หลังจากที่เขาพยายามหาทางทำลายมันมานานกว่า 30 ปี ซึ่งไม่เป็นผลสำเร็จเลย)

การเดินทางและการต่อสู้ครั้งใหม่ของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เขายังมี Pablo Simon Bolivar (รับบทโดย Ray Santiago) และ Kelly Maxwell (รับบทโดย Dana DeLorenzo) เป็นเพื่อนร่วมเดินทางต่อสู้ด้วย

ความรู้สึกหลังดูจบ
โดยรวมของซีรีส์ชุดนี้ คือถูกใจแฟนหนังตระกูล อีวิลเดธ แน่นอนฮะ เพราะกลิ่นอายและสไตล์แบบดั่งเดิมมีกลับมาอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความโหด ดิบ เถื่อน สยอง ซาดิสต์ และความตลกร้าย รวมถึงไม่ลืมที่จะพกเอายูนิฟอร์มหลักของ แอช กลับมาด้วยอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้า, ปืนลูกซองยาวตัดปากกระบอกปืนสะพายหลัง และ เลื่อยยนต์คู่ใจติดมือขวา

แม้กระทั่งเทคนิคการถ่ายทำ การเมคอัพ และการใช้ CG ต่างๆ ที่แม้จะเก็บเอกลักษณ์แบบในยุค 80 มาได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังสามารถผสมผสานเข้ากับเทคการถ่ายทำแบบในยุคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงเอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของหนังชุดนี้อย่าง มุมกล้อง ที่ใช้แทนสายตาผีร้าย ก็ยังคงนำกลับมาใช้งานได้ดีเหมือนเช่นเคย

ในส่วนของความโหดแบบต้นฉบับนั้น ขอบอกเลยว่าจัดเต็มมาก เลือดสาด ตับ ไต ไส้ พุง กระจาย (จนบางทียังแอบคิดอยู่เลยว่า อิทีมงานสร้างทั้งหมดนี่ต้องมีความแอบจิตอะไรอยู่แน่ๆ ถึงได้คิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้) ถ้าคุณไม่พิศมัยอะไรแบบนี้ แนะนำว่า “อย่าดู” เลยฮะ มีอ้วกแน่นอน

และด้วยความที่เนื้อหาในซีรีส์ชุดนี้ จะพูดถึงเหตุการณ์หลังจากจบไตรภาคแรกประมาณ 30 ปี นั่นคือ เนื้อหาจะกล่าวต่อจากภาค Army of Darkness เวอร์ชั่นตอนจบที่ แอช สามารถกลับมาสู่โลกยุคปัจจุบันได้ (สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Army of Darkness นั้น จะมีตอนจบ 2 แบบนะฮะ ลองไปหาดูกันเอาละกัน พูดมากกว่านี้ อาจจะกลายเป็นสปอย สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูมาก่อน) ดังนั้น คุณควรจะไปหาไตรภาคชุดนี้มาดูก่อนจะดีกว่านะฮะ

สรุป >> ให้ไปเลย 9 เต็ม 10 ฮะ จริงๆ โดยส่วนตัวอยากจะให้ 10 เต็ม 10 เลยซะด้วยซ้ำฮะ เพราะซีรีส์ชุดนี้เป็นการกลับมาสานต่อที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของหนังต้นฉบับได้อย่างครบถ้วน แต่ก็นั่นแหละฮะ ถ้าหันมามองในมุมของนักดูหนัง/ซีรีส์ยุคใหม่ที่ไม่ได้โตมากับแฟรนไชส์ชุดนี้ ก็อาจจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่นัก แถมในเรื่องแม้ว่าจะมีการ Flashback อยู่บ้างแต่มันก็ถูกเล่าแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่เคยตามดูมาก่อนตั้งแต่แรกก็น่าจะต่อไม่ติดนะฮะ

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ