[รีวิว] The Glory นี่คือนิยามของคำว่า 10 ปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย [Series]

[Review] The Glory [2022 – 2023]

The Glory (더 글로리) ทีวีซีรีส์แนว Drama Revenge Thriller Crime สัญชาติเกาหลีใต้ที่ผลิตโดย Netflix

เขียนบทโดย Kim Eun-sook
กำกับโดย Ahn Gil-ho

นำแสดงโดย
Song Hye-kyo (จากซีรีส์เรื่อง Autumn in My Heart และ Fullhouse) รับบทเป็น Moon Dong-eun
Jung Ji-so (จากภาพยนตร์เรื่อง Parasite และซีรีส์เรื่อง Hellbound) รับบทเป็น Moon Dong-eun (ช่วงวัยรุ่น)
Lim Ji-yeon (จากภาพยนตร์เรื่อง Obsessed, The Treacherous และซีรีส์เรื่อง Monet Heist: Korean) รับบทเป็น Park Yeon-jin
Shin Ye-eun (จากซีรีส์เรื่อง He Is Psychometric และ A-TEEN) รับบทเป็น Park Yeon-jin (ช่วงวัยรุ่น)
Park Sung-hoon (จากซีรีส์เรื่อง Justice และ Psychopath Diary) รับบทเป็น Jeon Jae-joon
Song Byeong-geun รับบทเป็น Jeon Jae-joon (ช่วงวัยรุ่น)
Cha Joo-young (จากซีรีส์เรื่อง Again My Life) รับบทเป็น Choi Hye-jeong
Song Ji-woo (จากซีรีส์เรื่อง The Forbidden Marriage) รับบทเป็น Choi Hye-jeong (ช่วงวัยรุ่น)
Kim Hieora (จากซีรีส์เรื่อง Hospital Playlist 2) รับบทเป็น Lee Sa-ra
Bae Kang-hee (จากซีรีส์เรื่อง Alchemy of Souls และ Somebody) รับบทเป็น Lee Sa-ra (ช่วงวัยรุ่น)
Kim Gun-woo (จากวีรีส์เรื่อง Record of Youth) รับบทเป็น Son Myeong-oh
Seo Woo-hyuk รับบทเป็น Son Myeong-oh (ช่วงวัยรุ่น)
Lee Do-hyun (จากซีรีส์เรื่อง 18 Again และ Sweet Home) รับบทเป็น Joo Yeo-jeong
Yeom Hye-ran (จากซีรีส์เรื่อง The Uncanny Counter) รับบทเป็น Kang Hyeon-nam
Jung Sung-il (จากภาพยนตร์เรื่อง A Frozen Flower) รับบทเป็น Ha Do-yeong
Choi Kwang-il (จากซีรีส์เรื่อง VAGABOND) รับบทเป็น Joo Sung-Hak

รับชมได้ทาง Netflix มีจำนวนทั้งหมด 16 ตอน

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของ มุนดงอึน เด็กสาวชั้นมัธยมปลายปีที่ 5 ที่เป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน ทั้งจากเพื่อนนักเรียนและครูประจำชั้น โดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเธอได้เลย เนื่องจากอิทธิพลของครอบครัวเด็กนักเรียนที่รุมรังแกเธอ จนในที่สุดเธอจึงต้องลาออกจากโรงเรียน

แต่ด้วยความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ยังหลอกหลอนเธออยู่ตลอดเวลา จนเธอไม่สามารถที่จะแบกรับความรู้สึกนั้นได้อีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย แต่แล้วกลับมีเหตุการณ์บางอย่างที่เปลี่ยนใจเธอให้กลับมาสู้กับชะตากรรมต่อไป

และตั้งแต่วันนั้นเองที่เธอได้ตั้งเป้าหมายในชัวิตที่จะกลับมาล้างแค้นกับทุกคนที่เคยทำร้ายเธอ ไม่ว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม

18 ปีผ่านไป ในที่สุดเธอก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มดำเนินการตามแผนการล้างแค้น

ความรู้สึกหลังดูจบ
ยอมรับว่าผิดจากที่คิดไว้พอสมควรเลยฮะคือตอนแรกรู้จักซีรีส์เรื่องนี้ว่าเป็นซีรีส์ที่เกี่ยวกับการตามล้างแค้นของตัวละครเอก ก็เข้าใจว่าจะมาในโทนบู๊แอ็คชั่นแก้แค้นซัดกันนัวเหมือนหนังตระกูล John Wick หรือซีรีส์เรื่อง My Name

แต่พอได้เริ่มดูถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แนวนั้น ซีรีส์มาในแนววางแผนที่จะเล่นงานคนที่นางเอกต้องการล้างแค้นโดยที่มือตัวเองไม่เปื้อนเลือด โดยเป้าหมายแต่ละคนที่นางเอกหมายหัวไว้เปรียบเสมือนเป็นตัวหมากในกระดาน ที่จะเดินไปตามเกมที่นางเอกได้วางเอาไว้

ในซีรีส์ไม่มีฉากแอ็คชั่นใดๆ เลย (นอกจากซีนการทำร้ายร่างกาย ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่าเป็นซีนแอ็คชั่นได้นะฮะ) การเดินเรื่องเต็มไปด้วยบทพูดและการเชือดเฉือนคารมกันของตัวละคร ซึ่งทำออกมาได้สนุกเกินคาดมากฮะ ดูไม่น่าเบื่อเลย แม้จะมีบางช่วงที่ดูจะยืดๆ ไปบ้างก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากซีรีส์แนวล้างแค้นเรื่องอื่นๆ คือในซีรีส์แนวล้างแค้นทั่วๆ ไป โดยปรกติตัวละครที่วางแผนจะแก้แค้นนั้น มักจะปิดบังตัวเองไม่ให้เป้าหมายรู้ตัวเลยว่าฉันกำลังวางแผนจัดการแกอยู่นะ คือกว่าจะรู้ตัวอีกทีตัวเป้าหมายก็โดนจัดการไปเรียบร้อยแล้ว

แต่กับเรื่องนี้ นางเอกเปิดหน้าชนและประกาศให้เป้าหมายได้รู้เลยว่า “เฮ้ย มึง กูกลับมาแล้วนะ เตรียมตัวเอาไว้ได้เลย กูจะเอานรกมาส่งให้ถึงมึงกับมือกูเองเลย มึงเคยทำอะไรกับกูไว้บ้าง จำให้ได้ด้วยนะ” เออ เนีย มันเลยดูแล้วรู้สึกสะใจดีฮะ

และที่ชอบที่สุดเลยก็คือนักแสดงทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมากๆ ถ่ายทอดคาแรคเตอร์ของตัวละครที่ตัวเองสวมบทอยู่ออกมาได้เป็นอย่างดีเลยฮะ เคมีทุกคนเข้ากันดีมาก

เป็นซีรีส์อีก 1 เรื่องที่สะท้อนสังคมถึงปัญหาการบูลลี่และการใช้ความรุนแรงทั้งในโรงเรียนและในครอบครัวออกมาได้เป็นอย่างดี ที่เชื่อว่ายังคงเกิดขึ้นอยู่ในสังคมทุกประเทศบนโลกใบนี้ และยังไม่มองไม่เห็นหนทางที่จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้เลย หนำซ้ำยังมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นทุกวัน จนกระทั่งลุกลามไปถึงขั้นก่ออาชญากรรมกันได้เลย

รวมถึงการเสียดสีสังคมทุนนิยมที่คนรวยจะทำอะไรก็ได้ไม่เคยได้รับโทษในความผิดที่ตัวเองก่อไว้ เพียงแค่ใช้เงินและอิทธิพลในการแก้ปัญหา ทุกอย่างก็เคลียร์จบ (กว่าที่เหยื่อจะได้รับความยุติธรรม ก็อาจจะต้องใช้เวลาอย่างยาวนานหลายสิบปี หรือบางเคสก็อาจจะไม่ได้รับความยุติธรรมเลย)

สรุป >> ให้ไปเลยฮะ 9 เต็ม 10 สนุกและตื่นเต้นแม้จะไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นใดๆ เลยก็ตาม เป็นอีก 1 ซีรีส์คุณภาพที่สะท้อนปัญหาสังคมได้เป็นอย่างดี ไม่ควรพลาดเลยฮะ

The Glory [2022 – 2023]

ฝากรีวิวเรื่องอื่นๆ ด้วยนะฮะ คลิกที่ลิ้งค์นี้ได้เลย