[รีวิว] Dragon Ball Super ภาคต่ออย่างเป็นทางการของ Dragon Ball [Manga]

[REVIEW] Dragon Ball Super [2015 – Present]

Dragon Ball Super ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทย

– จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ NED Comics
– ราคาปก 65 – 115 บาท (และมีแนวโน้มว่าจะยังคงขึ้นไปเรื่อยๆ)
– ไม่มีหน้าสี
– ณ วันที่เขียนรีวิวออกถึงเล่ม 18 (ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นออกถึงเล่ม 22 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2023)

ผลงานภาคต่ออย่างเป็นทางการของ ดรากอนบอล ซีรีส์การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องดังแห่งยุค 90 โดยที่อาจารย์ Toriyama Akira จะยังคงเป็นคนแต่งเนื้อเรื่อง แต่ในส่วนการวาดนั้นได้อาจารย์ Toyotarou ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ โทริยาม่า มาเป็นคนลงลายเส้น ก็ถือว่าวาดออกมาได้ดี และมีความใกล้เคียงกับลายเส้นเดิมของอาจารย์ โทริยาม่า เลยทีเดียว

Dragon Ball Super: Logo

เรื่องย่อ/เนื้อเรื่อง
เป็นการดำเนินเรื่องราวหลังจากจบศึกจอมมารบูไม่นานนัก โดยได้นำเนื้อหาจากภาพยนตร์เรื่อง ดราก้อนบอล Z ศึกสงครามเทพเจ้า และ ดราก้อนบอล Z การคืนชีพของฟรีเซอร์ มาเล่าเรื่องและขยายความใหม่อีกครั้งเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาใหม่

ใน เล่มแรก ก็จะเป็นการพบกันครั้งแรกของโกคู กับ เทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง บิลส์ ที่ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลอย่างยาวนาน เพราะฝันร้ายถึงศัตรูตัวฉกาจที่ถูกเรียกว่า Super Seiya God ด้วยความสนใจ เทพเจ้า บิลส์ จึงได้เดินทางออกตามหา จนในที่สุดก็ได้พบตัว และด้วยเหตุนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของร่างใหม่ของโกคู

ก่อนจะปิดท้าย เล่มแรก ด้วยการเริ่มต้นเปิดศึกการต่อสู้กับนักสู้จากจักรวาลที่ 6

พอเข้าสู่ฉบับรวมเล่ม เล่ม 2 จะเป็นเรื่องราวของศึกการต่อสู้กับนักสู้จากจักรวาลที่ 6 ซึ่งในจักรวาลที่ 6 นี้ มีเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างที่ชื่อ แชมป้า เป็นผู้ดูแล และด้วยความที่ แชมป้า และ บิลส์ เป็นพี่น้องฝาแฝด ที่มักจะขัดแย้งและแข่งขันกันอยู่เสมอในทุกๆ เรื่อง นี่จึงเป็นสาเหตุของการเกิดศึกในครั้งนี้

และปิดท้าย เล่ม 2 ด้วยเรื่องราวการต่อสู้ของ ทรังค์ จากโลกอนาคต ที่หลบหนีการตามล่าของ โกคูแบล็ก ศัตรูผู้มีพลังมากมาย ที่แม้กระทั่ง ทรังค์ ในร่างของ Super Seiya ยังมิอาจต่อกรได้ ทรังค์ จึงต้องหลบหลีกด้วยการนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปในอดีตเมื่อ 17 ปีก่อน (นั่นก็คือในโลกปัจจุบันนั่นเอง)

เล่ม 3 จะเล่าเรื่องราวของ ทรั้งค์ จากโลกอนาคตได้เดินทางกลับไปในช่วงเวลาของตัวเองหลังจากจบศึกต่อสู้กับ เซล ก่อนที่จะเจอศัตรูตัวร้ายอย่าง โกคูแบล็ก และแล้วการต่อสู้อันดุเดือดของ โกคู, เบจิต้า และ โกคูแบล็ก ก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีชะตากรรมของโลกอนาคตของ ทรั้งค์ เป็นเดิมพัน

เล่ม 4 การต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านของ โกคู, เบจิต้า, โกคูแบล็ก และ ซามัส ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

เล่ม 5 หลังจากจบศึกการต่อสู้กับ โกคูแบล็ก และ ซามัส ก็เตรียมเข้าสู่ศึก 12 จักรวาล ศึกการต่อสู้ที่มีชะตากรรมการอยู่รอดของจักรวาลเป็นเดิมพัน จักรวาลที่แพ้จะถูกลบหายไป และผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวจะได้รับสิทธิ์ในการขอพรอะไรก็ได้จากซูเปอร์ดรากอน

เล่ม 6 รวมพลเหล่านักสู้ซูเปอร์ เตรียมสู้ศึก 12 จักรวาล

เล่ม 7 ศึกเซอร์ไววัลแบทเทิลรอยัลของศึก 12 จักรวาลก็ได้เริ่มต้นขึ้น

เล่ม 8 การต่อสู้อันดุเดือดของศึกเซอร์ไววัลแบทเทิลรอยัลก็ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ และด้วยคำสั่งสอนสุดท้ายของ เซียนเต่า จะสามารถทำให้ โกคู ก้าวข้ามกำแพงของตัวเองได้หรือไม่

เล่ม 9 เข้าสู่ศึกตัดสินและบทสรุปของศึกเซอร์ไววัลแบทเทิลรอยัลของศึก 12 จักรวาล (ซึ่งในเวอร์ชั่นอนิเมะก็จะจบที่ตรงนี้แหละฮะ) จากนั้นเรื่องราวก็จะ Time Skip ช่วงศึกกับ โบรลี่ ไปนะฮะ และเริ่มที่การผจญภัยครั้งใหม่เมื่อ โกคู และ เบจิต้า ได้เข้าร่วมกับหน่วยสายตรวจจักรวาล

เล่ม 10 เมื่อ โมโร จอมมารสายเวทที่ชื่นชอบการดูดกลืนพลังของสิ่งมีชีวิตและดวงดาวต่างๆ เพื่อนำมาเป็นพลังของตัวเอง ได้แหกคุกหนีออกมา หลังจากที่ถูกท่าน ไดไคโอชิน จับกุมตัวไว้ได้ (เหตุการณ์ก่อนที่ ไดไคโอชิน จะรวมร่างกับ จอมมารบู) จึงเป็นหน้าที่ของเหล่าสายตรวจจักรวาลที่จะต้องตามล่าจับกุมตัว โมโร กลับมาขังคุกให้ได้ ก่อนที่ โมโร จะฟื้นคืนพลังกลับมาได้อย่างเต็มที่และสร้างหายนะให้แก่ทุกจักรวาล

เล่ม 11 เมื่อ โมโร สามารถฟื้นคืนพลังให้กับตัวเองได้ แม้จะยังไม่สมบูรณ์ 100% แต่ก็สามารถสร้างความลำบากให้กับ โกคู, เบจิต้า และหน่วยสายตรวจจักรวาล อีกทั้งเหล่านักโทษฝีมือฉกาจที่เป็นลูกน้องของ โมโร ก็ยังสามารถแหกคุกจักรวาลมาเสริมทัพได้อีก สถานการณ์จึงยิ่งเลวร้ายมากขึ้น โกคู, เบจิต้า และหน่วยสายตรวจจักรวาลจึงต้องพยายามเร่งหาทางจัดการกับ โมโร ให้ได้

เล่ม 12 ด้วยสถานการณ์ที่ตึงมือ โกคู และ เบจิต้า จำเป็นจะต้องแยกย้ายกันไปฝึกวิชาตามแนวทางของตนเพื่อหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อหยุดยั้ง โมโร ให้ได้ ในขณะเดียวกันเหล่าหน่วยสอดแนมที่เป็นลูกน้องของ โมโร ก็ได้ค้นพบการมีอยู่ของ ดาวโลก แล้ว และพวกมันกำลังจะเดินทางไป

เล่ม 13 ในที่สุดกองทัพของ โมโร ก็เดินทางมาถึงยังดาวโลก เหล่านักสู้ของดาวโลกจึงต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อปกป้องการรุกรานในครั้งนี้

เล่ม 14 ความแข็งแกร่งของ โมโร อยู่เหนือเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ดาวโลกจะรอดพ้นจะภัยพิบัติในครั้งนี้ได้หรือไม่

เล่ม 15 การต่อสู้กับ โมโร ผู้กลืนกินดวงดาวที่มีชะตากรรมของจักรวาลเป็นเดิมพันยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด

เล่ม 16 เริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ พร้อมกับการปรากฎตัวของนักรบอันดับหนึ่งในจักรวาล

เล่ม 17 ศึกการต่อสู้ของนักรบอันดับในจักรวาล และความน่ากลัวของ เบจิต้า

เรื่องราวคร่าวๆ ก็จะประมาณนี้นะฮะ

ความรู้สึกหลังจากได้อ่าน
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ฉบับมังงะถูกสร้างตามหลังฉบับอนิเมะ ดังนั้น จึงมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินเรื่องไปในหลายๆ จุด ซึ่งบางจุดก็ถือว่าทำออกมาได้ดี แต่อีกหลายๆ จุดที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร และนั่นเอง ที่ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องขอเปรียบเทียบกับฉบับอนิเมะด้วยในบางจุด

เริ่มจากในส่วนของเนื้อหาการนำเสนอนั้น บางช่วงบางตอนก็มีการนำเสนอที่มาที่ไปที่แตกต่างออกไปไม่เหมือนกับในฉบับอนิเมะ และในบางช่วงก็รวบรัดตัดตอน จนแทบจะอ่านไม่รู้เรื่องเลย มีการ Time Skip ในหลายๆ จุด เช่น การได้ร่างใหม่ของทั้ง เบจิต้า และโกคู ที่อยู่ๆ ก็สามารถแปลงร่างได้เลย โดยการกล่าวถึงที่มาของร่างนี้ เป็นการเล่าเรื่องผ่านกรอบตัวอักษร 2-3 กรอบเท่านั้น และนั่นก็หมายถึง ก็ตัดเนื้อหาในส่วนของการฟื้นคืนชีพของ ฟรีซเซอร์ ออกไปทั้งหมด เป็นต้น (เชื่อว่าหากไม่ได้ดูอนิเมะมาก่อน งงแน่นอน) 

ซึ่งการตัดเนื้อหาและที่มาของหลายๆ สิ่งเหล่านี้ไปนั้น ก็ทำให้เสน่ห์อย่างหนึ่งของซีรีส์ Dragon Ball ขาดหายไปเยอะ ซึ่งเสน่ห์ที่ว่าก็อย่างเช่น ความพยายามในการต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อข้ามขีดจำกัดของตัวเองของทั้ง เบจิต้า และโกคู เป็นต้น แต่แม้ว่าจะมีการตัดเนื้อหาไปหลักในหลายๆ เรื่อง แต่สิ่งที่เติมเต็มเข้ามาก็คือรายละเอียดในหลายๆ จุดที่ดูเหมือน อ.โทริยาม่า จะพยายามพาเนื้อราวให้กลับมาเดินทางทางที่อาจารย์ได้วางเอาไว้

การตีความบุคลิกของตัวละครหลายๆ ตัว ก็มีความแตกต่างกับฉบับอนิเมะพอสมควร เช่น การตีความบุคลิกนิสัยของตัวละคร ฮิตโตะ หรือ ฮิต (นักสู้จากจักรวาลที่ 6) ที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นอนิเมะอย่างเห็นได้ชัด

จากเดิมที่ในอนิเมะนั้น เราจะเห็นถึงความสุขุม เยือกเย็นของ ฮิตโตะ รวมถึงฝีมือที่เก่งกาจอย่างมาก สมกับที่เป็นนักฆ่าอันดับ 1 ของจักรวาลที่ 6

แต่ในฉบับมังงะ เราจะได้เห็นถึงบุคลิกที่แตกต่างออกไป เช่น ความสุขุมเยือกเย็นที่มีน้อยกว่า, มีความรู้สึกสนุกและความตื่นเต้นกับการต่อสู้ที่มากกว่า (ซึ่งตอนที่แมวอ่านครั้งแรก แมวรู้สึกคุ้นเคยกับบุคลิคนิสัยแบบนี้มาก คือ ให้ความรู้สึกเหมือนที่เคยสัมผัสได้จากตอนเห็น เซล ร่างสุดท้าย)

หรือบุคลิกนิสัยของ เบจิต้า ที่กลายเป็นตัวโจ๊กตัวติงต๊องไปแล้วในฉบับอนิเมะ ก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมในฉบับมังงะ แต่ลดดีกรีความโหดลงไปเยอะมาก (ซึ่งแตกต่างจากที่เคยเป็นใน Dragon Ball Z) และดูเหมือนจะเข้าขากันได้ดีกับ คาคาลอต ซะด้วย (เข้ากันได้ดีกว่าในฉบับอนิเมะซะอีก) อีกทั้ง เบจิต้า น่าจะเป็นตัวละครเพียงตัวเดียวในเรื่องแล้วมั้งฮะที่มีพัฒนาการทางด้านความคิดและจิตใจมากที่สุดของเรื่อง

แต่ก็อาจจะมองได้ว่า ความอ่อนโยนที่ได้มา เนื่องมาจากการได้สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้

Dragon Ball Super [2015 - Present]

สรุป >> ให้ไป 7.5 เต็ม 10 นะฮะ ความสนุก ความมันส์และความฮายังคงมาตราฐานเดิม แต่เพิ่มเติมคือความงุนงง ดังนั้น คุณควรจะหาฉบับอนิเมะมาดูประกอบกันไปด้วยจะดีกว่านะฮะ


In memory of Akira Toriyama
และต้องขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของอาจารย์ โทริยาม่า อากิระ เจ้าของผลงานสุดอมตะอย่าง Dr.Slump และ Dragon Ball เนื่องจากมีเลือดคั่งในช่องใต้สมองเฉียบพลัน

อาจารย์เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2567 แต่เพิ่งมาประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้ (8 มีนาคม พ.ศ.2567)

ณ วันที่เสียชีวิต อาจารย์มีอายุ 68 ปี

R.I.P (Rest In Peace)

Akira Toriyama

ฝากรีวิวเรื่องอื่นๆ ด้วยนะฮะ คลิกที่ลิ้งค์นี้ได้เลย