[รีวิว] Interceptor (สงครามขีปนาวุธ) หนังแอ็คชั่นหญิงแกร่ง บู๊สนั่นสไตล์ยุค 90 [Movie]

[Review] Interceptor (สงครามขีปนาวุธ) [2022]

Interceptor (สงครามขีปนาวุธ) ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดระทึกจากผลงานกำกับของ Matthew Reilley ซึ่งเขาได้เขียนบทร่วมกับ Stuart Beattie

อำนวยการสร้างโดย Michael Boughen, Matthew Street, Stuart Beattie และ Chris Hemsworth

รับชมได้ทาง Netflix

Interceptor (สงครามขีปนาวุธ) [2022]

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของร้อยเอก J.J. Collins (รับบทโดย Elsa Pataky) เจ้าหน้าที่ทหารหญิงผู้เชี่ยวชาญด้านระบบป้องกันชีปนาวุธที่ถูกเรียกตัวให้กลับมาประจำการที่ SBX-1 ฐานปฏิบัติการป้องกันขีปนาวุธระยะไกล ที่อยู่ลอยอยู่กลางทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ห่างจากฮาวายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 1,500 ไมล์

หลังจากมาถึงทางฐานปฏิบัติการ พวกเขาก็ได้รับแจ้งเหตุด่วนว่า มีผู้ก่อร้ายร้ายได้ทำการโจมตีที่ Fort Greely, Alaska 1 ใน 2 ของฐานปฏิบัติการเฝ้าระวังและป้องกันขีปนาวุธระยะไกลของกองทัพบกสหรัฐฯ

ในขณะเดียวกันกับที่ผู้ก่อการร้ายได้เข้าโจมตีฐานยิงขีปนาวุธข้ามทวีปที่ Tavlinka, Russia และขโมยขีปนาวุธออกไปได้จำนวน 16 ลูก ซึ่งหากมีการยิงขีปนาวุธเหล่านี้หากถูกยิงออกจากรัสเซียโดยตั้งเป้าหมายเพื่อโจมตีสหรัฐอเมริกา ขีปนาวุธเหล่านั้นจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 24 นาทีที่ถึงเป้าหมาย โดยฐานปฏิบัติการป้องกันขีปนาวุธระยะไกลทั้ง SBX-1 และ Fort Greely จะมีเวลาเพียงแค่ 12 นาทีเท่านั้นที่จะยิงขีปนาวุธเพื่อสกัดกั้น/ทำลายขีปนาวุธเหล่านั้น

และเมื่อฐานปฏิบัติการฟอร์ทกรีลีย์ถูกโจมตีไปแล้ว นั่นจึงเหลือเพียงแค่ฐานปฏิบัติการเอสบีเอ็กซ์วันเท่านั้นที่จะสามารถป้องกันการโจมตีในครั้งนี้ได้ แต่เหตุกาณณืมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อฐานปฏิบัติการเอสบีเอ็กซ์วันนี้ก็ถูกผู้ก่อการร้ายเข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยเช่นกัน

พวกเขาจะสามารถป้องกันฐานปฏิบัติการเอสบีเอ็กซ์วันและป้องกันการโจมตีของขีปนาวุธได้หรือไม่ ไปร่วมลุ้นกันนะฮะ

ความรู้สึกหลังดูจบ
หนังใช้เวลาปูเรื่องราวไม่นานนัก (เพียงแค่ประมา ณ 12 นาที) ก็อัดฉากแอ็คชั่นลุ้นระทึกมาแบบนันสต๊อปกันเลยทีเดียว

ซึ่งหนังมาในแนวแอ็คชั่นสไตล์ยุค 90 ประมาณ Die Hard หรือ Under Siege ที่เปลี่ยนตัวเอกมาเป็นผู้หญิงนั่นแหละ ประมาณเก่งเวอร์ๆ ผู้ร้ายง่อยๆ เล่าเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อนอะไรเยอะอัดฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ เข้าไปก็พอ

และนั่นจึงกลายจุดที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก เพราะด้วยเนื้อเรื่องที่เบาโหวงจึงทำให้หนังมาเดาทางง่ายไปหน่อย และทั้งๆ ที่ตลอดทั้งเรื่องหนังพยายามเล่นประเด็นการเหยียดเชื้อชาติ, เหยียดเพศรวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นในกองทัพสหรัฐฯ ผ่านคำพูดและการกระทำของตัวละครต่างๆ ตลอดทั้งเรื่อง แต่กลับไม่สามารถดึงเอาประเด็นเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากนัก เหมือนแค่วางๆ ไว้ให้เป็นประเด็นแค่นั้น แล้วสุดท้ายก็หันกลับไปเล่นกับความเป็นฮีโร่ฉายเดี่ยวของตัวเอกแทนซะงั้น มันจึงกลายเป็นแค่หนังแอ็คชั่นธรรมดาที่ดูจบแล้วก็จบไป ไม่มีความน่าประทับใจอะไรให้นึกถึงต่อเลย ซึ่งน่าเสียดายมากๆ

ซึ่งถ้าหากเปลี่ยนจากการเน้นฉากแอ็คชั่นต่อสู้ ไปเน้นที่การหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันด้วยสมองแทน น่าจะดูสมเหตุสมผลและสนุกกว่านี้นะฮะ (ในช่วงต้นที่ผู้ก่อการร้ายเริ่มเข้ามายึดพื้นที่ เหมือนจะไปในทิศทางนั้นอยู่นะฮะ แต่ไปๆ มาๆ ก็ซัดกันนัวซะงั้น)

อีกทั้งในส่วนของงาน CG โดยเฉพาะตัวขีปนาวุธ ดูยังไงก็ CG อ่ะฮะ ไม่เนียนเอาซะเลย

อ้อ เรื่องนี้ได้พี่ธอร์ Chris Hemsworth มาร่วมให้กำลังใจศรีภรรยา เอลซ่า เอ้ย มาร่วมเป็นคามิโอคอยปล่อยมุกกวนๆ ตามสไตล์พี่แกด้วย (แถมยังมาในภาพลักษณ์และคาแรคเตอร์คล้ายๆ ธอร์อ้วนอีกต่างหาก เรียกว่าน่าจะตั้งใจช่วยดันเมียแน่ๆ)

Interceptor (สงครามขีปนาวุธ) [2022]

สรุป >> ให้ไป 7 เต็ม 10 ละกันฮะ เพราะแม้จะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ดูเวอร์วังไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยก็ตาม แต่หนังก็ตอบโจทย์ในแง่ความบันเทิงได้อย่างเต็มที่เลยฮะ ถูกใจคอหนังแอ็คชั่นยุค 90 แน่นอน

สุดท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ