[Review] The Last of Us [2023]
The Last Of Us ซีรีส์แนว Post-Apocalyptic Drama Survival Thriller Horror ที่ดัดแปลงมาจากวิดีโอเกมแนว Action Adventure ชื่อเดียวกันที่พัฒนาโดย Naughty Dog จัดจำหน่ายโดย Sony Computer Entertainment ซึ่งเริ่มบนเครื่อง PlayStation 3
เขียนบทและควบคุมงานสร้างโดย Craig Mazin และ Neil Druckmann
รับชมได้ทาง HBO Max (ในบ้านเรารับชมได้ทาง HBO Go) โดยซีซั่นแรกมีจำนวน 9 ตอน
เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวเล่าถึงในช่วงปี 2023 ซึ่งผ่านมากว่า 20 ปีแล้วหลังจากอารยธรรมโลกล่มสลายจากเหตุการณ์ไวรัสเชื้อเห็ดราที่เปลี่ยนผู้ติดเชื้อให้กลายเป็นอสูรกายไล่กัดกินมนุษย์และแพร่ขยายพันธุ์ระบาดไปทั่วโลก
Joel (รับบทโดย Pedro Pascal) ชายวัยกลางคนผู้สูญเสียลูกสาววัย 14 ปีไปในเหตุการณ์วันสิ้นโลก โดยเขาได้รับการว่าจ้างให้พาตัว Ellie (รับบทโดย Bella Ramsey) เด็กหญิงวัย 14 ปีที่กำพร้าตั้งแต่แรกเกิดไปส่งให้กับกลุ่ม Firefiles (กองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่บริหารงานโดยกลุ่ม FEDRA) โดยกลุ่ม Fireflies กำลังหาวิธีการสร้างวัคซีนรักษาโรคระบาดนี้อยู่ และพวกเขาก็เชื่อว่า แอลลี่ น่าจะเป็นกุญแจสำคัญต่อการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติ
และแล้วการเดินทางของคน 2 วัยก็ได้เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางเศษซากปรักหักพังของโลกที่ล่มสลาย ซึ่งระหว่างเดินทางพวกเขาจะต้องหาทางเอาตัวรอดจากทั้งอสูรกายกระหายเลือดและเหล่าคนเป็นที่ต่างก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดเช่นกัน
ความรู้สึกหลังดูจบ
ก่อนจะเปิดดูก็เคยได้ยินได้อ่านเจอมาว่านี่คือซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากวิดีโอเกมที่ดีมากๆ เคารพต้นฉบับในเกมมากๆ ก็เลยค่อนข้างที่จะคาดหวังความบันเทิงจากซีรีส์ชุดนี้อยู่พอสมควร แต่ด้วยความที่เราก็ไม่ใช่คนเล่นเกมและไม่เคยรู้จักเกมนี้มาก่อนเลย ระหว่างที่ดูก็จะไม่รู้เลยว่าฉากไหนซีนไหนที่เคารพต้นฉบับในเกมแบบสุดๆ หรือมีไอเทม/Easter Egg อะไรจากในเกมทิ้งไว้ให้ดูบ้าง จึงไม่สามารถบอกได้ว่ามันดีอย่างเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นหรือไม่ ดังนั้น การรีวิวนี้จึงเป็นการพูดถึงเฉพาะในส่วนของซีรีส์เท่านั้นนะฮะ จะไม่มีการเปรียบเทียบกับเกมทั้งนั้น
ซึ่งก่อนเริ่มดู เราก็คิดว่าด้วยความที่เป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากเกมแนว Action Adventure Survival ก็คงจะบู๊สนั่น แอ็คชั่นยิงแหลกอะไรประมาณนั้น แถมยังเป็นซีรีส์แนว Post-Apocalyptic จากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นอสูรกาย ภาพและโทนของหนัง/ซีรีส์แบบเรื่อง Resident Evil และ the Walking Dead นี่เข้ามาในหัวเลยฮะ
แต่หลังจากที่ดูจนจบก็พูดได้เต็มปากเลยว่า ผิดไปจากที่คิดและคาดหวังไปเยอะเลยฮะ โดยรวมให้ความรู้สึกเหมือนดูหนัง/ซีรีส์แนว Road Trip ในเวอร์ชั่นระทึกขวัญต่อสู้เอาชีวิตรอดซะมากกว่า เพราะเหมือนแกนหลักของเรื่องจะโฟกัสไปการเดินทางของคน 2 คนที่มีวัยต่างกัน, มีนิสัยที่ไม่ลงรอยกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีปมบาดแผลในใจจนปิดกั้นตัวเองไม่ให้ความไว้วางใจกับใครทั้งนั้น
และในระหว่างการเดินทางก็จะมีอุปสรรคและภัยอันตรายต่างๆ เข้ามาให้ตัวละครทั้งสองตัวได้แก้ไข, ได้เรียนรู้และเต็มเต็มให้แก่กันและกัน จนในที่สุดก็เป็นการปลดล็อคกำแพงในหัวใจของทั้งคู่ ดังนั้นประมาณ 95% ของทั้ง 9 ตอนรวมกันจึงเต็มไปด้วยบทพูด และการเดินเรื่องแบบเรียบๆ เรื่อยๆ เนือยๆ
ใครที่คาดหวังจะได้เห็นตัวสัตว์ประหลาดอสูรกายไล่ล่าคนเยอะๆ น่าจะผิดหวังแรงพอสมควรนะฮะ เพราะนับรวมๆ แล้ว ฉากที่ตัวอสูรกายต่างๆ ที่โผล่มาแบบตัวเป็นๆ นี่มีแค่ไม่กี่ฉากเองฮะ (เท่าที่จำได้น่าจะไม่เกิน 5 ฉาก) และแม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะมุ่งเน้นให้เห็นถึงความน่ากลัวของคนเป็นหลัก แต่ฉากการต่อสู้กับคนก็มีอยู่น้อยนิดพอๆ กันฮะ
แล้วที่คาดหวังว่าจะได้เจอช่วงดราม่าหนักๆ หรือหักมุมจัดๆ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีนะฮะ อุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาก็คลี่คลายง่ายซะเหลือเกิน
สรุป >> ให้ไป 5 เต็ม 10 นะฮะ พลอตเรื่องมีความน่าสนใจนะ แต่ส่วนตัวดูแล้วไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เอาเป็นพูดว่าไม่ค่อยถูกจริตกับวิธีการเดินเรื่องแบบนี้ละกันนะฮะ
ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยนะฮะ คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ