[Review] Sex Education (เพศศึกษา หลักสูตรเร่งรัก) [2019 – 2023]
Sex Education (เพศศึกษา หลักสูตรเร่งรัก) ทีวีซีรีส์เรท 18+ แนว Love Comedy Drama จากฝั่งอังกฤษอีก 1 เรื่องของ NETFLIX ที่ฮิตสุดๆ ในช่วงเวลาที่ซีรีส์นี้ออกอากาศ จากผลงานการสร้างของ Laurie Nunn
มีทั้งหมด 4 Season ซีซั่นละ 8 ตอน
นำแสดงโดย
Gillian Anderson (ผู้ที่เคยรับบทเจ้าหน้าที่ FBI เดน่า สกัลลี่ ในซีรีส์ชุด The X-Files) รับบทเป็น Dr. Jean F. Milburn
Asa Butterfield (จากภาพยนตร์เรื่อง Ender’s Game และ The Space Between Us) รับบทเป็น Otis Milburn
Ncuti Gatwa (จากภาพยนตร์เรื่อง Horrible Histories: The Movie – Rotten Romans) รับบทเป็น Eric Effiong
Emma Mackey (จากภาพยนตร์เรื่อง Eiffel และ Death on the Nile) รับบทเป็น Maeve Wiley
Connor Swindells (จากภาพยนตร์เรื่อง The Vanishing) รับบทเป็น Adam Groff
Kedar Williams-Stirling (จากซีรีส์เรื่อง Wolfblood) รับบทเป็น Jackson Marchetti
Aimee Lou Wood (จากภาพยนตร์เรื่อง The Electrical Life of Louis Wain) รับบทเป็น Aimee Gibbs
Mimi Keene (จากซีรีส์เรื่อง EastEnders) รับบทเป็น Ruby Matthews
Alistair Petrie (จากภาพยนตร์เรื่อง Rogue One และ Hellboy (2019))รับบทเป็น Michael Groff
เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของ Otis Milburn หนุ่มติ๋มวัย 15 ปีที่ยังคงเวอร์จิ้นและมีปัญหากับการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เขาอาศัยอยู่กับ Dr. Jean F. Milburn คุณแม่นักบำบัดความสัมพันธ์ทางเพศที่นิยมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ในยามที่เหงา เพราะเธอไม่อยากผูกสัมพันธ์กับใครแบบเป็นเรื่องเป็นราวอีกหลังจากได้เลิกรากับ Remi Milburn พ่อของ โอทิส
โอทิส มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่อ Eric Effiong เด็กหนุ่มผิวสีที่เป็นเกย์ พวกเขาสนิทกันมาตั้งแต่ตอนอายุ 9 ขวบ ซึ่งทั้ง โอทิส และ เอริค ก็เหมือนกับเด็กเนิร์ดทั่วๆ ไป ที่มักจะโดนกลั่นแกล้ง, ถูก Bully และไม่สามารถเข้าสังคมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนได้
และด้วยความที่แม่ของ โอทิส เปิดบ้านของตัวเองเป็นคลีนิคสำหรับบำบัดปัญหาชีวิตคู่ นั่นจึงทำให้ โอทิส ได้ซึมซับความรู้เกี่ยวกับเรื่องปัญหาทางเพศและจิตวิทยาในการให้คำปรึกษามาตั้งแต่เด็ก ซึ่งในวันหนึ่งเขาก็จับพลัดจำผลู บังเอิญได้ไปให้คำปรึกษากับ Adam Groff ลูกชายจอมเกเรของครูใหญ่โรงเรียนมัธยมมัวร์เดล (Moordale Secondary School) เกี่ยวกับเรื่องการไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์
ซึ่งหลังจากได้รับคำปรึกษา ทำให้ อดัม สามารถที่จะกลับมาถึงจุดสุดยอดได้อย่างปรกติ จึงทำให้ Maeve Wiley สาวหัวขบถประจำโรงเรียน ที่ได้รับฉายาว่า จอมกัดจู๋ เพราะข่าวลือที่ถูกปล่อยออกมาว่าเธอชอบกัดจู๋ชายทุกคนที่เธอไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย ได้เห็นโอกาสในการทำเงิน เธอจึงชักชวนให้ โอทิส มาร่วมเปิดคลีนิครับปรึกษาปัญหาเรื่องเพศของวัยรุ่นในโรงเรียนแบบลับๆ
และแล้วเรื่องราวฮาๆ กับการแก้ไขปัญหาเรื่องเพศก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ความคิดเห็นหลังจากได้ดู
สนุกมากฮะ ดูเพลินและฮาดี ซึ่งถ้าใครที่เคยประทับใจกับภาพยนตร์เรื่อง American Pie มาแล้ว คุณน่าจะสนุกกับซีรีส์ชุดนี้ได้ไม่ยากเลย เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว โดยภาพรวมของทั้ง 2 เรื่องนี้ มีความคล้ายกันค่อนข้างมาก
แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือหนังเรื่อง American Pie นั้นหลักๆ จะโฟกัสไปที่เรื่องราวของหนุ่มๆ ที่อยากจะเสียซิงก่อนเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ในขณะที่ Sex Education นั้น จะเป็นการหยิบเอาประเด็นที่เกี่ยวปัญหาความสัมพันธ์ทางเพศในด้านต่างๆ มานำเสนอซะมากกว่า รวมถึงการนำเสนอมุมมองและทัศนคติทางด้านความรักทุกรูปแบบและทุกเพศทุกวัย (รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+ ด้วย) ซึ่งเป็นการหยิบมาเล่นได้อย่างลงตัวและไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดจนกลายเป็นหนังสารคดีไป
นอกจากนี้ ตัวซีรีส์ยังหยิบประเด็นหนักๆ อย่างเรื่องของปัญหาครอบครัว, การยอมรับตัวตน และเรื่องของการคุกคามทางเพศ มานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ และไม่เครียดจนเกินไปอีกด้วย
ส่วนมุกตลกสัปดนที่ใส่เข้ามา โดยส่วนตัวแล้วมองว่าสำหรับซีซั่นแรกยังพอแค่ให้ขำแบบ หึหึ เล็กน้อยเท่านั้น แต่พอเข้าซีซั่น 2 นี่ ฮาก๊ากอยู่หลายฉากเลย
พอมาซีซั่น 3 มุกตลกสัปดนต่างๆ เริ่มถูกลดบทบาทลงไปพอสมควร และถูกแทนที่ด้วยเนื้อหาที่ดูจริงจังมากขึ้น ตัวละครแต่ละตัวเริ่มมีความคิดที่เติบโตขึ้น ซึ่งพูดตามตรงเลยว่ามันยิ่งทำให้เราหลงรักซีรีส์ชุดนี้มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกับประเด็นต่างๆ ในแต่ละตอนที่ซีรีส์ชุดนี้ต้องการนำเสนอ โดนใจสุดๆ
แต่ที่ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่นิดหน่อยก็คือจากซีซั่น 3 ที่มีเนื้อหาเข้มข้นมากๆ แต่พอเข้าซีซั่น 4 เนื้อหากลับเหมือนเดินย่ำอยู่กับที่ การเดินเรื่องในซีซั่นนี้ก็ดูจะวนๆ ไม่ไปไหนซะที ตัวละครหลักหลายๆ ตัวแทบจะไม่ได้มีพัฒนาการอะไรเพิ่มขึ้นเลย ความเข้มข้นก็ดูลดน้อยลงทั้งๆ ที่มีประเด็นหนักๆ ให้เล่นอยู่เยอะไม่ต่างจากซีซั่นก่อนๆ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับ LGBTQ+ ที่แทบจะเป็นประเด็นหลักของซีซั่นนี้ แต่สิ่งที่ใส่เข้ามามันกลับขาดความเป็นธรรมชาติและดู “พยายาม” มากจนเกินไปจนเหมือนถูก “ยัดเยียด“
ในส่วนของฉาก 18+ ไมว่าจะเป็นฉากเซ็กซ์หรือฉากโชว์โป๊นั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว แม้จะมีใส่เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะจะแจ้งอะไรมากมายนัก ก็เลยไม่อยากให้คนที่ยังไม่ได้ดูมาคาดหวังอะไรตรงนี้มากนัก ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าหนังไม่สนุกไปซะอย่างนั้น
และแม้ตัวละครบางตัว จะมีการกระทำและการตัดสินใจที่ดูแล้วน่ารำคาญหรือน่าหมั่นไส้อยู่บ้าง แต่คุณต้องไม่ลืมว่า ตัวละครวัยรุ่นทุกตัวในเรื่องนี้ อายุเพียงแค่ 15-17 ปีเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันก็จะต้องป่วนๆ แบบนี้แหละ และถ้ามองลึกๆ ลงไปในตัวละครแต่ละตัว คุณจะเห็นว่าทุกๆ การกระทำ ทุกๆ การตัดสินใจของทุกๆ ตัวละครมันมีเหตุผลมารองรับอยู่เสมอ ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม ไม่มีคำว่า “อิหยังวะ” เกิดขึ้นเลย
อีกสิ่งดีงามอย่างหนึ่งของซีรีส์ชุดนี้ก็คือ เพลงประกอบ ซึ่งแต่ละเพลงที่ถูกหยิบมาใช้งานนั้น มีทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ ซึ่งมีส่วนช่วยให้อารมณ์และจินตนาการของหนังไปได้สุดจริงๆ ฮะ
โดยรวมคือดำเนินเรื่องได้สนุกสนาน น่ารัก ตลกและมีสาระมาก จะเรียกได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของวิชาสังคมศึกษาและเพศศึกษาในยุคสมัยปี 2000 ที่พ่อ แม่ ครู และอาจารย์ ที่กำลังมีเด็กๆ อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ต้องดูแล ควรจะเปิดใจและมานั่งดูนั่งเรียนรู้ไปด้วยกันเลยฮะ
คะแนน >> ซีซั่น 1 และ 2 ให้ไป 8.5 เต็ม 10 นะฮะ โดยรวมคือดูได้เพลินๆ แต่สำหรับซีซั่น 3 นี่ยกให้ไปเลย 10 เต็ม 10 ฮะ คือทุกอย่างมันดูลงตัวมาก ทั้งเนื้อหา การเกลี่ยบทให้ตัวละครแต่ละตัว ประเด็นที่นำเสนอ โคตรโดนใจเลยฮะ ดูจบแล้วแทบจะมูฟออนจากซีรีส์ชุดนี้ไม่ได้เลย แต่พอมาซีซั่นสุดท้ายที่การเดินเรื่องกลับลดความเข้มข้นลงไปอย่างน่าเสียดาย ก็ให้ไป 9 เต็ม 10 ละกันนะฮะ
สรุป > 4 ซีซั่นเฉลี่ยให้ไป 9 เต็ม 10 นะฮะ เป็นซีรีส์อีก 1 เรื่องที่จบลงได้อย่างสวยงามและอบอุ่นหัวใจเลย