[รีวิว] Cell (โทรศัพท์ซอมบี้) 1 ในความล้มเหลวของหนังที่สร้างจากนิยายของ Stephen King [Movie]

[Review] Cell (โทรศัพท์ซอมบี้) [2016]

Cell (โทรศัพท์ซอมบี้) ภาพยนตร์แนว Sci-Fi Horror ที่ดัดแปลงนิยายสยองขวัญของ Stephen King ที่วางจำหน่ายในปี 2006

ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดย Stephen King และ Adam Alleca
กำกับโดย Tod Williams
อำนวยการสร้างโดย John Cusack

นำแสดงโดย John Cusack, Samuel L. Jackson และ Isabelle Fuhrman ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของ Cusack และ Jackson ที่ได้มาร่วมงานกันในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ Stephen King (เรื่องแรกคือ 1408 ออกฉายในปี 2007)

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของ ClaytonClayRiddell (รับบทโดย John Cusack) ศิลปินนักวาดภาพประกอบนิยายที่เคยทิ้งภรรยาและลูกชายเพื่อเดินทางตามหาฝันที่จะเป็นนักวาดการ์ตูนที่มีชื่อเสียง

ณ สนามบินนานาชาติบอสตัน เคลย์ กำลังจะเดินทางกลับไปหาภรรยาและลูกชายโดยหวังว่าจะได้กลับไปคืนดีกับครอบครัวของเขา ในระหว่างที่กำลังรอขึ้นเครื่อง ก็ได้มีเหตุเลวร้ายวุ่นวายที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

เมื่อจู่ๆ ผู้คนต่างก็พากันคลุ้มคลั่งและไล่ฆ่าคนไปทั่ว ส่วนผู้ที่ยังไม่โดนทำร้ายก็พยายามหนีเอาตัวรอดอย่างไม่คิดชีวิต เคลย์ พยายามหลบหนีจากเหตุการณ์วุ่นวายโดยการพยายามหนีไปทางรถไฟใต้ดิน จนได้พบกับ ThomasTomMcCourt (รับบทโดย Samuel L. Jackson) พนักงานขับรถไฟใต้ดิน และ Alice Maxwell (รับบทโดย Isabelle Fuhrman) เด็กสาวเพื่อนบ้านของ เคลย์

ทุกคนต่างก็งุนงงกับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นและยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปดี รู้แต่เพียงว่าสาเหตุที่ผู้คนคลุ้มคลั่งไล่ฆ่าคนเหมือนซอมบี้นั้น น่าจะมาจากคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ แต่ใครเป็นคนสร้างความวุ่นวายนี้ ก็ยังไม่มีใครรู้

เคลย์ พยายามที่จะเดินทางไปตามหาภรรยาและลูกชายที่รัฐ New England ทอม และ อลิส จึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปด้วยกัน

ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปร่วมลุ้นกันเอาเองนะฮะ

ความคิดเห็นหลังจากดูจบ
อิหยังวะ” คือคำอุทานแรกสุดหลังจากที่หนังจบ คือ จบได้งงมาก หนังไม่ได้เฉลยอะไรให้เราได้เข้าใจเลย คือแบบว่า อยู่ๆ ก็มา อยู่ๆ ก็จบ แล้วยังไง คือจะทิ้งให้กูเคว้งแบบนี้ไม่ได้นะ มาสรุปเรื่องให้กูก่อนสิ

แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้ว จะไม่ใช่แฟนนิยายของ Stephen King ก็ตามที แต่ก็พอเคยดูหนังที่สร้างจากนิยายสยองขวัญของ King มาเยอะพอสมควร (เช่น Carrie, The Shining, The Mist, Thinner, Pet Sematary, และ IT เป็นต้น) ซึ่งก็ไม่เคยมีเรื่องไหนเลยที่ทำให้รู้สึกแย่และเสียเวลาได้เท่านี้มาก่อนเลย

ทั้งๆ ที่พลอตเรื่องจะน่าสนใจมากๆ มีการตีความเปรียบเทียบจิกกัดสังคมในยุคสมัยนี้ได้เป็นอย่างดีในหลายๆ ประเด็น แถมยังเปิดเรื่องได้ดีและน่าติดตามสุดๆ แต่พอเรื่องเดินมาได้สักพัก ความน่าเบื่อก็เริ่มเข้ามาแทนที่ หนังดำเนินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ เหมือนไร้ทิศทาง สุดท้ายก็จบแบบ…

สรุป >> ไม่เหมาะกับทุกคนที่ยังมีอะไรให้ทำอยู่ พูดง่ายๆ ว่า เอาเวลาชั่วโมงกว่าๆ เนี้ย ไปทำอะไรอย่างอื่นที่อยากทำน่าจะมีประโยชน์และบันเทิงกับตัวเองมากกว่านะ หรือใครอยากจะลองของ อยากจะลองพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง ก็เชิญได้เลยฮะ หรือแนะนำให้ไปหาหนังสือเรื่องนี้มาอ่าน แล้วจินตนาการเอง น่าจะสนุกกว่านี้เยอะฮะ

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ