[รีวิว] Ghost In The Shell กับการค้นหาจิตวิญญาณและความเป็นมนุษย์ [Movie]

[Review] Ghost In The Shell (โกสต์ อิน เดอะ เชลล์) [2017]

Ghost In The Shell (โกสต์ อิน เดอะ เชลล์) ภาพยนตร์แนว Sci-Fi ที่ดัดแปลงจากมังงะระดับคลาสสิกของอาจารย์ Masamune Shirow เรื่อง Mobile Armored Riot Police (攻殻機動隊) ที่เขียนลงในนิตยสาร Young Magazine ตั้งแต่ปี 1989

เขียนบทโดย Jamie MossWilliam Wheeler และ Ehren Kruger
กำกับโดย Rupert Sanders

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
เรื่องราวของเวอร์ชั่นฮอลีวู๊ดนี้ กล่าวถึง Major Mira Killian (นำแสดงโดย Scarlett Johansson) เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านการก่อการร้ายทางด้านไซเบอร์ที่ชื่อว่า Public Security Sector 9 ที่ก่อตั้งโดย Hanka Robotics มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัยและยับยั้งการก่อร้ายทางด้านไซเบอร์และเทคโนโลยี

ผู้พันมิร่า คือผลงานการทดลองระดับสูงที่เกิดจากการผ่าตัด นำสมองของมนุษย์มาเชื่อมต่อเข้ากับร่างกายที่เป็นหุ่นยนต์ มีความคิดและวิจารณญาณเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง (ยกเว้นเพียงร่างกายเท่านั้นที่เป็นไซบอร์ค)

วันหนึ่งที่ ผู้พันมิร่า ต้องออกปฏิบัติงานเพื่อยับยั้งการก่อการร้ายของอาชญากรที่ใช้ชื่อว่า Kuze (นำแสดงโดย Michael Carmen Pitt) และจากการได้ปะทะกับ คูเซ่ ทำให้ ผู้พันมิร่า ได้เริ่มฉุกคิดและเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนของ คูเซ่ และตัวเองขึ้นมา และนั่นเองที่ทำให้ ผู้พันมิร่า ต้องออกค้นหาความจริงถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง จนกระทั่งได้พบกับความจริงที่เจ็บปวด

ความคิดเห็นหลังจากดูจบ
ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวว่าฝั่งฮอลีวู๊ดจะหยิบมังงะเรื่องนี้มาสร้าง ความคิดแรกที่ขึ้นมาในหัวเลยคือ “กูจะดูรู้เรื่องมั้ย” ต้องยอมรับเลยว่า โดยส่วนตัวไม่เคยอ่านมังงะเลยนี้มาก่อน แต่เคยได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับความลุ่มลึกของเนื้อหาและปรัชญาแฝงที่อัดแน่นอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้ทำให้เกิดความน่าสนใจที่จะลองเข้าไปสัมผัสดูว่าฝรั่งจะตีความการ์ตูนเชิงปรัชญาตามแนวคิดของญี่ปุ่นออกมาในทางไหน

ซึ่งหลังจากที่ได้ดูจบ ส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่เวอร์ชั่นฮอลีวู๊ดนี้ ตีความมังงะในแบบผิวๆ ไม่ได้ลงลึกในปรัชญาแฝงที่มังงะต้นฉบับนี้มี การตีความในรูปแบบนี้ ทำให้คนที่ไม่เคยอ่านมังงะมาก่อน ก็สามารถดูได้สนุกไปตลอดทั้งเรื่อง

และสิ่งที่ดีที่สุดของ โกส อิน เดอะ เชลล์ เวอร์ชั่น 2017 นี้ก็คือ ฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ ที่มาพร้อมกับ Special Effect และ CG ที่สวยงาม พูดง่ายๆ เลยคือ ตัวหนังค่อนข้างที่จะกลายเป็นหนังแนวตลาดที่ย่อยง่ายขึ้น แต่ก็อาจจะไม่ได้รู้สึก ว้าว อะไรกับมันมากมายนัก เพราะหลายๆ ฉาก ก็ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง The Matrix ที่ทำออกมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว

แต่สำหรับคนที่ติดตามมาตั้งแต่มังงะ น่าจะผิดหวังไม่ใช่น้อย เพราะสิ่งที่เวอร์ชั่นนี้ตีความออกมา ได้ไปลดระดับของสิ่งที่มังงะนี้ต้องการสื่อ จนทำให้ความลุ่มลึกและเสน่ห์ที่แท้จริงหายไปหมด กลายเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟทั่วๆ ไป

อย่างประเด็นในเรื่องของจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์กับเครื่องจักรกลนั้น ถือว่าทำได้ด้อยกว่าภาพยนตร์ในแนวเดียวกันอีกหลายๆ เรื่อง เช่น I,ROBOT , A.I หรือ ROBOCOP (เวอร์ชั่นปี 1987) เป็นต้น

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ