[รีวิว] JOKER กับการตีความครั้งใหม่ที่จะพาคุณไปสู่จุดเริ่มต้นของวายร้ายอันดับ 1 แห่ง GOTHAM CITY [Movie]

[Review] JOKER (โจ๊กเกอร์) [2019]

JOKER (โจ๊กเกอร์) ภาพยนตร์แนว Psychological Drama Thriller จากค่าย DC Film ผลงานกำกับของ Todd Phillips ที่นำคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนวายร้ายอันดับต้นๆ ของค่าย DC Comics อย่าง โจ๊กเกอร์ คู่ปรับคนสำคัญของ Batman มาดัดแปลงและตีความใหม่ โดยได้ Scott Silver มาเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับเขา และได้ Joaquin Phoenix มาแสดงนำ ร่วมด้วยนักแสดงมากความสามารถอย่าง Robert De Niro, Zazie Beetz และ Frances Conroy เป็นต้น

เข้าฉายในบ้านเราด้วยระดับเรท R (18+)

รับชมได้ทาง Netflix

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
หนังมีฉากหลังอยู่ในช่วงปี 1981 ยุคที่เมือง Gotham City ตกต่ำถึงขีดสุด เรื่องราวกล่าวถึงชีวิตของ Arthur Fleck (รับบทโดย Joaquin Phoenix) ชายหนุ่มนักแสดงตลกที่มีความปัญหาทางด้านจิตเวท ปัญหาอย่างหนึ่งของเขาก็คือ ทุกครั้งที่เขามีความเครียดเขาจะต้องหัวเราะออกมาอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้

อาเธอร์ อาศัยอยู่กับแม่ที่มีอาการป่วยในห้องเช่าแห่งหนึ่ง เขาต้องพยายามอดกลั้นอารมณ์ที่รุนแรงและความคิดทางด้านลบเอาไว้ข้างในเพื่อใช้ชีวิตอย่างปรกติ ท่ามกลางสภาวะทางสังคมที่ไม่สมประกอบของเมือง ก็อตแธมซิตี้ และผู้คนที่พร้อมจะเหยียบย่ำทำร้ายคนที่อื่นอ่อนแอกว่าอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทุกอย่างในชีวิตของเขาตกต่ำถึงขีดสุด อารมณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้มาตลอดจึงได้ระเบิดออกมา และนั่นเองที่นำพาเขามาสู่การเป็น Joker วายร้ายอันดับ 1 แห่งเมือง Gotham City

ความรู้สึกหลังดูจบ
ช่วงครึ่งแรกของหนังดำเนินเรื่องค่อนข่างจะเนือยๆ ไปสักหน่อย อาจจะเพื่อให้คนดูได้ซึบซับถึงตัวตนของ อาเธอร์ ก็เป็นได้ แต่เมื่อดำเนินมาจนเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังที่เริ่มเข้าสู่ช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวละคร อาเธอร์ หนังก็เปลี่ยนมาใช้วิธีดำเนินเรื่องที่กระชับฉับไวมากขึ้น จนไปถึงช่วงไคลแม็กซ์และปิดฉากลงรด้วยกราฟความสนุกที่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ

ในส่วนที่มีหลายๆ คนพูดถึงหนังเรื่องนี้ว่า มีความ “ดิ่ง ดาวน์ ดาร์ก” มากเลยนะ โดยส่วนตัวมองว่า จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นนะ เพราะแม้ว่าหนังจะมีความหม่นหมองและให้อารมณ์ที่ชวนอึดอัด, หดหู่อยู่พอสมควร แต่ด้วยพล็อตที่มาถึงขนาดนี้แล้ว จริงๆ สามารถทำได้ “ดิ่ง ดาวน์ ดาร์ก” มากกว่านี้อีกนะ จึงกลายเป็นว่าเหมือนหนังมันยังไปไม่สุดอ่ะ ทำให้ระหว่างที่ดูจะรู้สึกว่า “เฮ้ย ยังไปได้อีกนะ ลึกลงได้อีก ลงไปอีกหน่อยสิ” ตลอดเวลา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราเคยเห็นเคยสัมผัสกับทั้งหนัง ทั้งการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องที่มัน “ดิ่ง ดาวน์ ดาร์ก” กว่านี้มาแล้วก็เป็นได้

จุดที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้ คือการแสดงของ วาคิน ฟีนิกซ์ เลย โดยเฉพาะในช่วงหลังที่เริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่การเป็น โจ๊กเกอร์ นี่คือการตีความที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก โจ๊กเกอร์ คนอื่นที่ผ่านมาเลย สมกับที่ทั้งตัว วาคิน และ ท็อดด์ เคยพูดไว้ว่า นี่เป็นการตีความตัวการ์ตูน โจ๊กเกอร์ ในแบบของตัวพวกเขาเอง โดยที่ไม่ได้ยึดใครหรือการ์ตูนฉบับไหนเป็นแบบอย่าง

งานทางด้านการย้อนเฉดสี ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ส่งผลให้โทนของหนังยิ่งดูหม่นหมอง และอีกด้านหนึ่งที่ไม่พูดถึงเป็นไม่ได้เลยก็คือเรื่องของเพลงและซาวด์ประกอบในแต่ละช่วงอารมณ์ ที่เป็นส่วนสำคัญที่ดึงให้เรามีอารมณ์และมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ตลอดทั้งเรื่อง

JOKER (โจ๊กเกอร์)

สรุป >> ให้ไปเลย 8.5 เต็ม 10 ฮะ โดยรวมคือชอบนะ สนุกและน่าติดตามดี ไม่ได้มีความเป็นหนังการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่อยู่เลย ดังนั้น คนที่คาดหวังว่าจะไปดูฉากแอ็คขั่นมันส์ๆ หรือตัวละครในชุดคอสตูมต่างๆ คุณผิดหวังแน่นอน แต่ถ้าคุณอยากเข้าไปสัมผัสกับการตีความใหม่ถึงแก่นแท้ในจิตใจของ Joker คุณน่าจะสนุกกับเรื่องนี้ได้เลย

ส่วนที่ออกมาเตือนๆ กันว่า ไม่เหมาะกับคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า อันนี้ก็ไม่รู้สินะ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่เค้าเตือนๆ กันมา ก็ปลอดภัยไว้ก่อนละกัน


JOKER (โจ๊กเกอร์)

และจากการประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 92 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563 (ตามเวลาประเทศไทย)  JOKER สามารถคว้ารางวัล OSCARS มาได้จำนวน 2 รางวัล ได้แก่

  • – นักแสดงชายยอดเยี่ยม (Best Actor): Joaquin Phoenix
  • – ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (Best Original Music Score)

ขอแสดงความยินดีด้วยนะฮะ

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ