[รีวิว] 1899 ซีรีส์ชวนปวดหัวเรื่องใหม่จากทีมผู้สร้างซีรีส์เรื่อง Dark [Series]

[Review] 1899 [2022]

1899 ซีรีส์แนว Epic Sci-Fi Mystery สัญชาติเยอรมันจาก Netflix ที่สร้างโดย Jantje Friese และ Baran bo Odar ซึ่งเคยฝากผลงานซีรีส์ชั้นเยี่ยมเรื่อง Dark มาก่อนหน้านี้

เขียนบทโดย Jantje Friese, Dario Madrona López Gallego, Emma Ko, Jerome Bucchan-Nelson, Juliana Lima Dehne และ Emil Nygaard Albertsen
กำกับโดย Baran bo Odar

นำแสดงโดย
Emily Beecham รับบทเป็น Maura Henriette Franklin / Singleton
Aneurin Barnard รับบทเป็น Daniel Solace
Andreas Pietschmann รับบทเป็น Eyk Larsen
Miguel Bernardeau รับบทเป็น Ángel
José Pimentão รับบทเป็น Ramiro
Isabella Wei รับบทเป็น Ling Yi
Gabby Wong รับบทเป็น Yuk Je
Yann Gael รับบทเป็น Jérôme
Mathilde Ollivier รับบทเป็น Clémence
Jonas Bloquet รับบทเป็น Lucien
Rosalie Craig รับบทเป็น Virginia Wilson
Maciej Musiał รับบทเป็น Olek
Clara Rosager รับบทเป็น Tove
Lucas Lynggaard Tønnesen รับบทเป็น Krester
Maria Erwolter รับบทเป็น Iben
Alexandre Willaume รับบทเป็น Anker
Tino Mewes รับบทเป็น Sebastian
Isaak Dentler รับบทเป็น Franz
Fflyn Edwards รับบทเป็น Elliot
Anton Lesser รับบทเป็น Henry Singleton

รับชมได้ทาง Netflix (ปัจจุบันมี 1 Season จำนวน 8 ตอน)

1899

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
ในปี 1899 คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินทางจาก เซาแทมป์ตัน สหราชอาณาจักร ไปยัง นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ด้วยเรือเดินสมุทรสุดหรูหราที่ชื่อ Kerberos

ซึ่งภายในเรือโดยสารลำนี้ มีผู้โดยสารและลูกเรือรวมกันกว่าพันคนที่แตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ, ภาษาและฐานะ ซึ่งผู้โดยสารแต่ละคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายในการเดินทางที่แตกต่างกันไป ทั้งผู้โดยสารระดับเศรษฐีที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยว, ทำธุรกิจ และผู้โดยสารระดับล่างที่ถือว่าเป็นบุคคลชั้นสองที่ต่างก็มุ่งหวังจะเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศแห่งเสรีอย่างอเมริกา

ในระหว่างการเดินทาง ลูกเรือของเรือ Kerberos ก็ได้รับสัญญาณลึกลับที่คาดว่าจะถูกส่งมาจากเรือเดินสมุทร Prometheus ที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว

Eyk Larsen ซึ่งเป็นกัปตันของเรือ Kerberos จึงตัดสินใจหันหัวเรือไปยังทิศทางที่สัญญาณนั้นส่งมา โดยคาดหวังว่าจะได้พบกับเรือ Promrtheus

และทันใดที่พวกเขาเดินทางไปถึง เรื่องราวสุดลึกลับและชวนพิศวงก็ค่อยปรากฎขึ้นทีละน้อย

ความรู้สึกหลังดูจบ
แรกเริ่มที่ได้รู้ว่าซีรีส์ชุดนี้สร้างโดยทีมเดียวกันกับที่เคยสร้างความงุนงงมาแล้วก่อนหน้านี้อย่างซีรีส์เรื่อง Dark ดังนั้นก่อนเริ่มดูจึงพยายามเคลียร์หัวตัวเองให้โล่งๆ ก่อนเลย เพราะกลัวดูแล้วจะมึนตึ๊บเหมือนเรื่องที่แล้ว

แต่หลังจากที่ดูจนจบซีซั่นแรกก็พบว่ามันดูง่ายและเล่าเรื่องได้ลงตัวกว่าซีรีส์เรื่อง Dark เยอะเลยฮะ เพราะแม้ตัวเนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนและมีปมปริศนาอยู่เยอะเหมือนเดิม แต่พอถึงจุดที่หนังเริ่มเฉลย หลายๆ อย่างมันก็คลี่คลายไปในตัวนะฮะ (แม้จะตามมาด้วยปริศนาใหม่ก็ตาม)

แต่ส่วนที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นักก็เห็นจะเป็นช่วง EP แรกนี่แหละฮะ ที่ยังมีการเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ เอื่อยๆ เหมือนในเรื่อง Dark (ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ชอบวิธีการเดินเรื่องแบบนั้น) แต่พอเข้า EP 2 เท่านั้นแหละฮะ หนังก็เริ่มเดินเรื่องได้สนุกและตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ และชวนให้ลุ้นระทึกไปพร้อมๆ กับตัวละคร ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ทำให้รู้สึกชื่นชอบกว่าเรื่อง Dark นะฮะ

และสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของทีมสร้างชุดนี้ก็คือ ซาวด์ดนตรีประกอบ ที่ให้อารมณ์แบบเดียวกับในซีรีส์เรื่อง Dark เลย (จนบางซีนยังแอบคิดเลยว่า เอ๊ะ? เอาซาวด์ดนตรีจากกเรื่อง Dark มารียูสหรือเปล่าหว่า)

สำหรับคนที่ยังไม่เคยดู แนะนำให้เลือกดูแบบภาษาอังกฤษต้นฉบับ และเปิดซับไตเติ้ลเอานะฮะ เพราะประเด็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งของซีรีส์ชุดนี้คือเรื่องความต่างทางด้านภาษาของตัวละครแต่ละตัว ที่มาจากหลากหลายชนชาติ เราจึงจะได้เห็นว่าตัวละครแต่ละตัวจะมีความยากลำบากในการสื่อสารกัน แต่ถ้าดูเป็นพากย์ไทย อารมณ์ตรงจุดนี้จะถูกหายไปเพราะกลายเป็นว่าตัวละครทุกตัวพูดภาษาเดียวกัน ซึ่งมันจะผิดไปจากความตั้งใจที่ผู้สร้างต้องการให้เป็น

1899 [2022]

สรุป >> ให้ไป 8.5 เต็ม 10 นะฮะ ซีรีส์มีการดำเนินเรื่องที่สนุก น่าตื่นเต้นและชวนให้ติดตามได้เป็นอย่างดี แต่ EP แรกรู้สึกอืดๆ ยืดๆ ไปหน่อย

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยนะฮะ คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ