[รีวิว] ดาบมังกรหยก ตอนประมุขพรรคมาร ภาพยนตร์ปี 1993 กับการตีความที่แตกต่าง [Movie]

[Review] ดาบมังกรหยก ตอนประมุขพรรคมาร (Kung-Fu Cult Master) [1993]

ดาบมังกรหยก ตอนประมุขพรรคมาร (1993) ผลงานภาพยนตร์จีนที่หยิบยกตอนหนึ่งจากบทประพันธ์ของ กิมย้ง (Jin Yong) เรื่อง The Heaven Sword and Dragon Saber (倚天屠龍記) ซึ่งถือว่าเป็นภาคที่ 3 ของนิยายกำลังภายในเรื่อง มังกรหยก มาตีความใหม่ โดยภาพยนตร์ชุดนี้อำนวยการสร้างโดย หลี่เหลียนเจี๋ย (Jet Li), กำกับคิวบู๊โดย หงจินเป่า (Sammo Hung) และกำกับโดย หวังจิน (Wong Jin)

  • นำแสดงโดย
    หลี่เหลียนเจี๋ย (Jet Li) รับบทเป็น เตียบ่อกี้ (จางอู๋จี้)
  • หงจินเป่า (Sammo Hung) รับบทเป็น เตียซำฮง (จางซานฟง)
  • อู๋เจิ้นหวี่ (Francis Ng) รับบทเป็น เตียชุ่ยซัว
  • จางเหมี่ยน (Sharla Cheung) รับบทเป็น ฮึงซู่ซู่ และ เตี๋ยเมี่ยง
  • หลีจือ (Gigi Lai) รับบทเป็น จิวจี้เยียก
  • ซิวซู่เจิน (Chingmy Yau) รับบทเป็น เสี่ยวเจียว
ดาบมังกรหยก ตอนประมุขพรรคมาร (Kung-Fu Cult Master: 1993)

เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
กระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร” 2 ศาสตราวุธที่จอมยุทธ์ ก๊วยเจ๋ง และ อึ้งย้ง ได้สร้างขึ้นมา โดยการนำกระบี่เหล็กนิลของจอมยุทธ์อินทรี เอี้ยก้วย มาหลอมและตีขึ้นใหม่ พร้อมกันนั้นจอมยุทธ์หญิง อึ้งย้ง ได้นำแผ่นเหล็กที่สลักตำราพิชัยสงครามของซุนวูและคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งซ่อนไว้ในศาสตราวุธทั้ง 2 ด้วย

หลายสิบปีผ่านไป ในปลายราชวงศ์หยวนเป็นที่กล่าวขานในยุทธภพว่า หากผู้ใดได้ครอบครองดาบฆ่ามังกรและกระบี่อิงฟ้าแล้วผู้นั้นจะพบความลับอันยิ่งใหญ่ที่ซุกซ่อนอยู่ในสิ่งล้ำค่าทั้งสอง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ชาวยุทธต่างฆ่าฟันกันเพื่อให้ได้ดาบฆ่ามังกรและกระบี่อิงฟ้ามาครอบครอง นานเข้าได้มีการแบ่งแยกชาวยุทธออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งแรกเป็นการรวมตัวของ 6 สำนักใหญ่ในยุทธภพที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายคุณธรรม นำโดย เส้าหลิน, บู๊ตึ้ง, ง้อไบ๊, คุนหลุน, คงท้ง และ หัวซาน

ส่วนอีกฝ่ายนำโดยพรรคที่แยกสาขามาจากเปอร์เซีย ในนาม พรรคจรัส หรือที่ถูกเรียกขานในยุทธภพว่าเป็นพรรคมาร ซึ่งพรรคจรัสนี้ทำงานลึกลับและเป็นปรปักษ์ต่อทางการและชาวยุทธฝ่ายคุณธรรม มีศูนย์กลางอยู่ที่ดอยเจิดจ้า โดยมี 4 ผู้คุ้มกฎของพรรค (อินทรีคิ้วขาว, ค้างคาวปีกเขียว, ราชสีห์ขนทอง และ มังกรเสื้อม่วง) ที่ฝีมือเป็นเลิศ คอยดูแลควบคุมพรรค

และเมื่อยุทธภพมีการแบ่งแยกกันเช่นนี้ ดังนั้น หากศิษย์ทั้งสองฝ่ายคบหากัน จะมีโทษถึงตาย

แต่ปรากฎว่า เตียชุ่ยซัว ศิษย์คนที่ 5 ของนักพรต จางซานฟง แห่งบู๊ตึ้ง ได้ผูกสมัครรักใคร่กับ ฮึงซู่ซู่ บุตรสาวของ อินทรีย์คิ้วขาว ซึ่งเป็น 1 ในผู้คุ้มกฏของพรรคจรัส ซ้ำยังสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับ เจี่ยซุ่น (ราชสีห์ขนทอง)

วันหนึ่ง เจี่ยซุ่น ได้ทำการช่วงชิงดาบฆ่ามังกรมาครอบครอง และสังหารชาวยุทธมากมาย เพื่อหลอกล่อให้ เซ่งคุน ปรากฎตัว เนื่องจากต้องการแก้แค้น เซ่งคุน ที่ได้ทำการสังหารครอบครัวของเขาทั้งหมด ดังนั้น เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย ทั้ง 3 จึงได้หลบหนีไปยังเกาะร้างแห่งหนึง จนกระทั่ง เตียชุ่ยซัว และ ฮึงซู่ซู่ ได้ให้กำเนิดทายาทเป็นบุตรชายนามว่า เตียบ่อกี้

10 ปีผ่านไป ในวันเกิดครบรอบ 100 ปีของนักพรต จางซานฟง ทั้ง เตียชุ่ยซัว และ ฮึงซู่ซู่ จึงได้ตัดสินใจพา เตียบ่อกี้ เดินทางกลับจงหยวนเพื่อมาอวยพรวันเกิดของนักพรต จางซานฟง แต่ในระหว่างทาง เตียบ่อกี้ ได้ถูกทำร้ายด้วยฝ่ามือเยือกเย็นจาก 2 ผู้เฒ่าทมิฬ ซ้ำร้ายทั้ง เตียชุ่ยซัว และ ฮึงซู่ซู่ ได้ถูกกลุ่มชาวยุทธจาก 6 สำนักใหญ่กดดันให้บอกที่ซ่อนตัวของราชสีห์ขนทองและดาบฆ่ามังกร แต่ด้วยความมีคุณธรรมและความผูกพันธ์กับ เจี่ยซุ่น จึงทำให้ทั้งคู่ ต้องยอมปลิดชีวิตตนเองเพื่อรักษาความลับที่ซ่อนของ เจี่ยซุ่น เอาไว้ ทำให้ เตียบ่อกี้ กลายเป็นกำพร้าและต้องเก็บกดความแค้นนี้ไว้

ดาบมังกรหยก ตอนประมุขพรรคมาร (Kung-Fu Cult Master: 1993)

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านไป นักพรต จางซานฟง พยายามใช้พลังวัชร์ เพื่อรักษาอาการพิษในร่างกายของ เตียบ่อกี้ มาตลอด แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยับยั้งพิษไว้ ไม่ให้กำเริบมากนัก แต่ไม่สามารถรักษาให้ขาดได้ เพราะมีเพียงพลังเก้าสุริยันของเส้าหลินเท่านั้น ที่จะรักษาอาการพิษเย็นนี้ได้

7 ปีผ่านไป เตียบ่อกี้ โตเป็นหนุ่มใหญ่ โดยอาศัยอยู่ที่สำนักบู๊ตึ้ง เพื่อหาทางรักษาอากรพิษเย็นในตัว และเนื่องจากพิษเย็นที่อยู่ในตัวนั่นเอง จึงทำให้ เตียบ่อกี้ ไม่สามารถฝึกวิทยายุทธใดๆ ได้เลย นั่นเอง จึงทำให้เขามักจะโดนการรังแกจาก ซ่งแชจือ ศิษย์พี่ใหญ่รุ่นที่ 3 (บุตรของศิษย์พี่ใหญ่รุ่น 1 ซ่งเอี้ยงเกี้ย) อยู่เสมอ เนื่องจากความอิจฉาที่เห็นอาจารย์ปู่ (นักพรต จางซางฟง) และอาจารย์อาทุกคนให้ความรักและเอ็นดูในตัว เตียบ่อกี้

วันหนึ่ง ซ่งแชจือ ได้วางแผนร่วมกับศิษย์คนอื่นๆ และ จิวจี้เยียก ศิษย์จากสำนักง้อไบ๊ กลั่นแกล้งจนเค้าเกิดพลัดตกหุบเขาไปพร้อมกับ เสี่ยวเจียว แต่ดวงยังดีที่พวกเขาไม่ตาย หนำซ้ำยังได้พบกับหัวมังกรไฟที่มีวิชาพลังเก้าสุริยันที่สามารถช่วยให้เตียบ่อกี้หายจากพิษฝ่ามือเยือกเย็น และในระหว่างที่เขาเดินทางไปยังพรรคจรัสเพื่อยับยั้งการต่อสู้กับ 6 สำนักใหญ่ เขาบังเอิญได้ฝึกสุดยอดวิชาพลังเคลื่อนย้ายจักรวาลจนมีพลังยุทธลึกล้ำและได้ขึ้นเป็นประมุขคนใหม่ของพรรคจรัส

ในขณะเดียวกัน เตี๋ยเมี่ยง องค์หญิงของแคว้นมองโกลได้เดินทางมายังยุทธภพจงหยวนพร้อมกับลักพาตัวคนของ 6 สำนักใหญ่ ในระหว่างที่กำลังเดินทางกลับสำนักหลังจบศึกกับพรรคจรัส นางทำเพื่อจุดประสงค์อันใด ต้องคอยติดตามกันต่อไปนะฮะ

ความรู้สึกหลังดูจบ
นี่คือภาพยนตร์จีนอีก 1 เรื่อง ที่ดัดแปลงและตีความใหม่จนแทบจะไม่เหลือเค้าของบทประพันธ์เดิมเลย นอกจากโครงเรื่องหลักที่ยังพอมีส่วนคล้ายๆ กับต้นฉบับอยู่บ้าง แต่ในส่วนของรายละเอียดและบุคลิกนิสัยของตัวละครทั้งหมด แทบจะไม่ได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับเลย แถมยังมีการใส่มุขตลกเข้าไปในหลายๆ ฉากอีกด้วย

ในเวอร์ชั่นนี้ เราจะได้เห็นการตีความให้ เตียบ่อกี้ มีนิสัยที่ค่อนข้างเจ้าคิดเจ้าแค้น มีความทะเยอทะยาน และแข็งกร้าวอยู่พอสมควร ซึ่งตรงนี้ ค่อนข้างแตกต่างจากบทประพันธ์เดิมที่ เตียบ่อกี้ จะเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงและมีนิสัยอ่อนโยน

ในส่วนของ ซ่งแชจือ และ จิวจี้เยียก ถูกตีความให้กลายเป็นตัวร้าย ที่ร้ายแบบแค่โผล่มาฉากแรกก็รู้เลยว่า นี่คือตัวร้ายของเรื่อง ร้ายแบบที่ไม่น่าจะมีความดีเหลืออยู่ในตัวเลย (ถ้าเป็นหนังไทย น้องจี้เยียก อาจจะเดินตลาดในหน้าทุเรียนลำบากแน่ๆ)

บทของ เสี่ยวเจียว เวอร์ชั่นนี้ ถูกให้ความสำคัญค่อนข้างมาก มีบทบาทเยอะมาก และที่สำคัญ ซิวซู่เจิน ในบท เสี่ยวเจียว เรื่องนี้ น่ารักมากกกกกกกกกก

ส่วน เตี๋ยเมี่ยง ยังไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก เพราะออกมาแค่ช่วงท้ายเท่านั้น แต่ด้วยคอสตูมและการแสดงของ จางเหมี่ยน นั้น เรียกได้ว่านี่เป็นตัวละครที่ทำออกมาได้ใกล้เคียงบทประพันธ์กับที่สุดแล้ว (วัดเฉพาะตัวละครในเรื่องนี้เท่านั้นนะฮะ)

ในส่วนของฉากแอ็คชั่น ก็สนุกสนานตามสไตล์หนังฮ่องกงในยุคนั้น มีการใช้เอฟเฟกต์ปล่อยแสงปล่อยพลังมากมาย

แต่เดิมคาดว่า ภาพยนตร์ชุดนี้ถูกวางไว้ให้เป็นไตรภาคแน่ๆ (เพราะหนังจบ แบบยังไม่จบ) แต่ออาจจะด้วยกระแสตอบรับที่ไม่สู้ดีนัก โครงการภาคต่อจึงอาจจะโดนพับเก็บไปในที่สุด ก็ถือว่าน่าเสียดายเหมือนกันนะ

ดาบมังกรหยก ตอนประมุขพรรคมาร (Kung-Fu Cult Master)

สรุป >> ให้ 7 เต็ม 10 ละกันฮะ หนังทำออกมาได้สนุกในระดับนึง ฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ ตามสไตล์ หงจินเป่า แต่จงอย่าเอาไปเทียบกับเวอร์ชั่นทีวีหรือบทประพันธ์เลยเชียว เพราะความสนุกจะหายไปทันที

ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ